ศูนย์ทดสอบสมรรถภาพรถยนต์

เครื่องยนต์สั่นเกิดจากสาเหตุอะไร แก้ไขอย่างไรได้บ้าง ?

เครื่องยนต์สั่นเกิดจากสาเหตุอะไร แก้ไขอย่างไรได้บ้าง ?

หากวันนี้คุณเคยเจอกับเหตุการณ์ที่ว่าขับรถอยู่ดีๆ ก็รู้สึกเหมือนรถของคุณมีอาการสั่นผิดปกติ เดินเบาไม่เรียบ มีอาการกระตุก หรือที่เรียกกันว่าอาการ เครื่องยนต์สั่น ไม่ว่าจะตอนเร่งความเร็ว หรือตอนขับปกติ นั่นอาจเป็นสัญญาณเตือนว่าถึงเวลาที่ต้องตรวจสภาพรถกันแล้วแหละค่ะ

ซึ่งปัญหาเครื่องยนต์สั่นในขณะขับนี้อาจจะดูเหมือนไม่ร้ายแรงมาก แต่ก็ไม่ควรปล่อยไว้นะครับ ควรเช็คให้แน่ใจว่า เครื่องยนต์สั่นเกิดจากสาเหตุอะไร จะได้รีบทำการแก้ไขให้ตรงจุด รวมถึงจะได้ไม่สร้างความรำคาญใจในขณะขับขี่ให้ตัวคุณเองด้วยครับ เราไปดูกันว่ารถที่มีอาการ เครื่องยนต์สั่น เกิดจากสาเหตุอะไรได้บ้าง เดี๋ยว TZ (trainingzenter) พาทุกคนมาทำความรู้จักกันค่ะ


4 อาการเครื่องยนต์สั่น

1. เกิดอาการสั่นเมื่อคุณหยุดรถ

รถของคุณมีอาการสั่นทุกครั้งที่คุณหยุดรถ ในขณะที่รถเดินเบาคุณรู้สึกเหมือนรถมีแรงสั่นสะเทือน อาการดังกล่าวสามารถบ่งบอกถึงปัญหาของเครื่องยนต์ได้เช่นกัน สาเหตุหนึ่งของรถสั่นขณะเดินเบาหรือจอดรถไว้นิ่งๆ อาจมาจาก ตัวยึดเครื่องยนต์หลวม เพราะตัวยึดเครื่องยนต์คือตัวเชื่อมต่อระหว่างเครื่องยนต์และรถของคุณ

ตัวยึดเครื่องยนต์จะช่วยลดแรงสั่นสะเทือนที่เกิดจากเครื่องยนต์ของคุณไว้อย่างปลอดภัย เมื่อตัวยึดเครื่องเสื่อมสภาพ คุณอาจจะรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือน หรือชิ้นส่วนอื่นในเครื่องยนต์มีปัญหา เช่น หัวฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงชำรุด, หัวเทียนชำรุด, สายพานราวลิ้นไม่ดี ปัญหาเครื่องยนต์เหล่านี้เป็นสาเหตุที่ทำให้รถสั่น ควรนำรถไปพบช่างผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจสอบสภาพรถ อย่างละเอียดและแก้ไขปัญหาทันที

2. เกิดอาการสั่นเมื่อเร่งความเร็ว

รถสั่นเมื่อเร่งความเร็ว อาจเกิดจากตัวยึดเครื่องยนต์หลวมหรือชำรุด เมื่อฐานยึดเครื่องยนต์ที่ชำรุดและหลวม จะไม่สามารถดูดซับแรงสั่นสะเทือนที่เกิดจากเครื่องยนต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่อาการรถสั่น เมื่อเหยียบคันเร่ง ก็อาจเกิดจากระบบบังคับเลี้ยวและระบบกันสะเทือน

การตั้งศูนย์ถ่วงล้อที่ไม่ตรงแนว ก็อาจทำให้พวงมาลัยสั่นเมื่อคุณเร่งความเร็วได้ ปัญหาทั้งสองนี้จะมีอาการรถสั่นลักษณะคล้ายกัน แต่มีวิธีแก้ไขที่แตกต่างกันมาก ดังนั้นควรนำรถไปพบช่างผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจสอบสภาพรถ อย่างละเอียดและแก้ไขปัญหาอย่างตรงจุด

3. เกิดอาการสั่นเมื่อเหยียบเบรก

เมื่อเท้าเหยียบลงแป้นเบรกรถมีอาการสั่นทั้งคัน โดยเฉพาะเหยียบเบรกขณะรถวิ่งด้วยความเร็วสูง ปัญหาดังกล่าวหากไม่รีบไปตรวจสภาพรถและแก้ปัญหาอาจทำให้คุณเสี่ยงต่ออุบัติเหตุได้ รถสั่นเมื่อคุณเหยียบเบรก อาจบ่งบอกถึงปัญหาของจานเบรกที่บิดเบี้ยว ผ้าเบรกที่สึกหรอ หรือน้ำมันเบรกหล่อลื่นไม่เพียงพอ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นองค์ประกอบสำคัญของการเบรก ดังนั้นควรนำรถไปพบช่างผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจสอบสภาพรถและแก้ไขปัญหาทันที

4. เกิดอาการสั่นเมื่อขับด้วยความเร็วสูง

อาการรถสั่นเมื่อขับด้วยความเร็วสูงหรือพวงมาลัยสั่น แสดงว่ารถของคุณอาจมีการตั้งศูนย์ล้อผิดตำแหน่ง หรือยางรถยนต์ไม่มีความสมดุลไม่ถูกต้อง เพราะในขณะที่ล้อไม่ตรงตำแหน่ง ก็จะทำให้ส่วนประกอบของระบบกันสะเทือนทำมุมไม่ถูกต้อง ความไม่สมดุลของยางจะเกิดขึ้น เมื่อน้ำหนักรถของคุณไม่ได้กระจายอย่างเหมาะสมบนยางทั้งสี่เส้น หากปล่อยไว้สามารถทำให้ยางรถยนต์เสื่อมสภาพก่อนเวลาอันควร ทำให้เกิดสภาพการขับขี่ที่เป็นอันตรายอีกด้วย

เครื่องยนต์สั่น เกิดจากสาเหตุอะไร ?

1. ยางแท่นเครื่องเสื่อม

สาเหตุ

อีกหนึ่งสาเหตุยอดนิยมที่ทำให้เกิดอาการเครื่องสั่น ขณะอยู่ในช่วงรอบเดินเบา อาจเกิดจากยางแท่นเครื่องชำรุด เนื่องจากยางแท่นเครื่องมีหน้าที่ดูดซับแรงสั่นสะเทือนขณะที่เครื่องกำลังหมุน เมื่อใช้งานไปนาน ๆ จะเกิดอาการเสื่อมหรือฉีกขาด ทั้งนี้ หากแก้ปัญหาเฉพาะหน้าด้วยการเหยียบคันเร่งให้รอบเครื่องสูงขึ้น อาการสั่นจะหายไปก็จริง แต่อาจทำให้ลูกยางแท่นเครื่องขาดได้

วิธีดูแลและแก้ไข

ถ้ายางแท่นเครื่องชำรุด ควรให้ช่างเปลี่ยนยางแท่นเครื่องใหม่ ซึ่งโดยปกติแล้ว เมื่อมีอายุการใช้งานครบ 100,000 กิโลเมตร ควรเปลี่ยนใหม่ แต่ถ้ารถของคุณไม่ได้ใช้งานหนัก หรือเห็นว่ายางแท่นเครื่องยังมีสภาพดีอยู่ อาจจะใช้งานต่ออีกสักพักแล้วค่อยเปลี่ยนใหม่ก็ได้เช่นกัน ทั้งนี้ เพื่อยืดอายุการใช้งานให้นานขึ้น เมื่อเจอทางขรุขระ, ลูกระนาด, หลุม, หรือเศษหินเกลื่อนกลาดอยู่ตามพื้นถนน ควรลดความเร็วลง หรือใช้ความเร็วต่ำ

2. หัวเทียนเสื่อมสภาพ/ หัวเทียนสูบใดสูบหนึ่งไม่ทำงาน

สาเหตุ

หากรถของคุณมีอาการอาการสั่นจากเครื่องยนต์ เดินไม่เรียบ หรือสตาร์ตติดยาก เป็นไปได้ว่าอาจเกิดจากหัวเทียนชำรุด เพราะหัวเทียนมีหน้าที่จุดระเบิดและส่งกระแสไฟ เพื่อทำให้เกิดการระเบิดจนผลักให้ลูกสูบเคลื่อนที่ขึ้น-ลง จนสามารถขับเคลื่อนเครื่องยนต์ได้ หากเสื่อมสภาพหรือมักเรียกกันว่าหัวเทียนบอด มักจะเกิดอาการดังกล่าว เนื่องจากหัวเทียนจุดประกายไฟไม่สม่ำเสมอนั่นเอง

วิธีดูแลและแก้ไข

เมื่อรถของคุณมีอาการเช่นนี้ ให้ลองสังเกตหัวเทียนว่ามีสภาพเป็นอย่างไร หากสึกกร่อน หรือเต็มไปด้วยคราบเขม่า, คราบน้ำมัน ควรเปลี่ยนใหม่ทันที ซึ่งเราขอแนะนำว่าให้เปลี่ยนใหม่พร้อมกันทุกหัว เพื่อการทำงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น (แล้วแต่จำนวนกระบอกสูบหรือรูปแบบเครื่องยนต์ เช่น Twin Spark ก็จะใช้หัวเทียนมากหน่อย)

3. ลิ้นปีกผีเสื้อสกปรก

สาเหตุ

ลิ้นปีกผีเสื้อสกปรก เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้รอบเครื่องยนต์สวิง ไม่นิ่ง และสั่น เนื่องจากปีกผีเสื้อมีหน้าที่ควบคุมอากาศที่เข้ามาในห้องเผาไหม้ เมื่อใช้งานไปนาน ๆ จะมีคราบน้ำมัน, คราบเขม่า และฝุ่นละอองมาเกาะ ซึ่งนอกจากจะมีส่วนทำให้เครื่องยนต์ทำงานไม่ราบเรียบแล้วยังและกินน้ำมันขึ้นกว่าปกติด้วย

วิธีดูแลและแก้ไข

ควรถอดลิ้นปีกผีเสื้อออกมาล้างทำความสะอาด โดยอาจใช้บริการศูนย์บริการ หรือทำด้วยตัวเองก็ได้หากมีทักษะและเครื่องมือ เพราะไม่ต้องอาศัยความชำนาญเป็นพิเศษ อย่างไรก็ตาม เมื่อลิ้นปีกผีเสื้อมีอายุการใช้งานประมาณ 20,000-30,000 กิโลเมตร ควรนำมาทำความสะอาด เพื่อยืดอายุการใช้งานให้นานขึ้น

4. สายท่อ Vacuum รั่ว

สาเหตุ

อีกสาเหตุหนึ่งที่มีความเป็นไปได้ หากรถของคุณมีอาการสั่น, รอบเดินเบาไม่นิ่ง, จะดับไม่ดับแหล่ และต้องคอยเร่งเครื่องตลอดเวลานั้น อาจเกิดจากสายท่อ Vacuum รั่วในจุดใดจุดหนึ่ง เนื่องจากท่อ Vacuum มีหน้าที่ช่วยเร่งไฟจุดระเบิดในรอบเดินเบา ให้เครื่องยนต์ไม่สั่น

วิธีดูแลและแก้ไข

เบื้องต้น ให้ตัดปลายสายที่ปริแตกออกก่อน แล้วเสียบกลับคืนใหม่ แต่ถ้ายังพบปัญหาเดิม ควรเปลี่ยนสายท่อ Vacuum ใหม่ “ทุกเส้น” ในเครื่องยนต์ เพราะหากมีเส้นหนึ่งแตกแล้ว เส้นอื่น ๆ ต้องปริแตกตามอย่างแน่นอน

5. มอเตอร์ควบคุมรอบเดินเบาสกปรก

สาเหตุ

มอเตอร์ควบคุมรอบเดินเบา หรือไอเดิ้ล วาล์ว (Idle Speed Control) จะทำหน้าที่ควบคุมปริมาณการไหลของอากาศ ส่งผลต่อรอบเดินเบา โดยอุปกรณ์นี้นี้จะควบคุมรอบเดินเบาไม่ให้เครื่องรอบตกนั่นเอง และเมื่อเกิดสิ่งสกปรกอุดตัน ไอเดิ้ล วาล์ว จะเกิดอาการติดขัดระหว่างการทำงานได้

วิธีดูแลและแก้ไข

วิธีการแก้ไขนั้นไม่ยาก เมื่อสกปรกก็ต้องนำมาล้างและทำความสะอาดใหม่ แต่ถ้ายังพบปัญหาเดิม ๆ อยู่ ควรเปลี่ยนไอเดิ้ล วาล์ว ใหม่จะดีที่สุด เพื่อตัดปัญหาเครื่องยนต์สั่นนั่นเอง

อย่างไรก็ตาม เมื่อไหร่ที่รถของคุณเกิดอาการ เครื่องยนต์สั่น ผิดปกติ หากตรวจเช็คเบื้องต้นแล้วไม่แน่ใจ การแก้ไขปัญหาที่ปลอดภัยที่สุดควรนำรถเข้าศูนย์ตรวจเช็คโดยช่างผู้เชี่ยวชาญ เพื่อความแม่นยำและจะได้แก้ไขปัญหาให้ตรงจุด เป็นปกติของการใช้งานเครื่องยนต์ เมื่อเวลาผ่านไปภายในรถทุกชิ้นก็เสื่อมสภาพไปตามการใช้งาน ดังนั้น จึงต้องดูแลรักษาเครื่องยนต์อยู่เสมอเพื่อความปลอดภัยในการขับขี่บนท้องถนน และป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาจุกจิกกวนใจระหว่างขับขี่ด้วยค่ะ

ขอบคุณข้อมูลจาก : เยลโล่เซอร์วิส

เครื่องยนต์สั่นเกิดจากสาเหตุอะไร แก้ไขอย่างไรได้บ้าง ? Read More »

วิธีดูแลรักษาหม้อน้ำรถยนต์

เชื่อว่าหลายคนต้องเคยเจอกับเหตุการณ์ที่ว่าขับรถอยู่ดีๆ เครื่องยนต์ก็ดับไปซะเฉยๆ สตาร์ทเครื่องอีกครั้งก็ไม่ติดแล้ว รู้สาเหตุอีกทีก็มาจาก หม้อน้ำ นั่นเอง ซึ่งปัญหาเครื่องยนต์ส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้น เกิดจากปัญหาเรื่องระบบระบายความร้อนของ หม้อน้ำรถยนต์

ที่เจ้าของรถส่วนใหญ่ค่อนข้างละเลยส่วนนี้ และไม่ค่อยให้ความสำคัญเท่าไหร่นัก รวมถึงบางคนยังขาดความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องหม้อน้ำรถยนต์ว่ามีความสำคัญอย่างไรกับเครื่องยนต์ อีกทั้งการดูแลรักษาแบบผิดวิธี อย่างการเติมน้ำเปล่าแทนน้ำยาหล่อเย็น หรือการเลือกใช้น้ำยาหล่อเย็นที่ไร้คุณภาพ จนทำให้เกิดการอุดตัน วันนี้เราจะทุกคนมาทำความเข้าใจกับเรื่องหม้อน้ำรถยนต์ให้มากขึ้น วันนี้ TZ (trainingzenter) พร้อมแนะนำเทคนิคการดูแลหม้อน้ำรถยนต์อย่างถูกวิธี ที่คนรักรถไม่ควรพลาดค่ะ

หม้อน้ำ คืออะไร

หม้อน้ำ คือ อุปกรณ์แลกเปลี่ยนความร้อน จากน้ำที่ไหลมาจากโพรงผนังเสื้อสูบ โดยจะเข้ามาสู่หม้อน้ำทางด้านบน จากนั้นน้ำดังกล่าวไหลลงมาตามท่อน้ำในหม้อน้ำ ท่อน้ำเหล่านี้ จะเชื่อมติดกับครีบระบายความร้อน (รังผึ้ง) ซึ่งทำจากโลหะที่ถ่ายเท ความร้อนได้รวดเร็ว

เมื่อน้ำที่มีอุณหภูมิสูงเหล่านี้ เคลื่อนตัวจากด้านบน ลงสู่ด้านล่าง ก็จะถ่ายเทความร้อนออกไป ให้กับครีบระบายความร้อนดังกล่าว ขณะเดียวกัน พัดลมหม้อน้ำ (Fan) ก็จะทำการหมุน เพื่อดูดอากาศที่อยู่ด้านหน้าหม้อน้ำ ผ่านครีบระบายความร้อนหม้อน้ำ ออกมาทางด้านหลัง

เป็นการแลกเปลี่ยนความร้อนไปเป็นอากาศ เมื่อน้ำที่มีอุณหภูมิสูง ไหลลงสู่ด้านล่าง อุณหภูมิ ก็จะลดลงมาตามลำดับ บริเวณด้านล่างหม้อน้ำ จะมีท่อยางหม้อน้ำ ต่อไปสู่ทางเข้าผนังเสื้อสูบอีกที ทำให้น้ำที่มีอยู่ในระบบ ไหลเวียนไปมา ระหว่างโพรงผนังห้องเครื่อง กับหม้อน้ำได้อย่างต่อเนื่อง

หม้อน้ำ สำคัญอย่างไร

หน้าที่สำคัญของหม้อน้ำรถยนต์ คือ ช่วยระบายความร้อนส่วนเกินจากการเผาไหม้ของเครื่องยนต์ เพราะการเผาไหม้เชื้อเพลิงแต่ละครั้ง จะมีอุณหภูมิสูงมาก ความร้อนที่เกิดขึ้นจะต้องมีน้ำยาหล่อเย็นเป็นตัวนำพาความร้อนส่วนเกินนี้ มาลดอุณหภูมิลงที่บริเวณรังผึ้งหม้อน้ำ

โดยมีพัดลมหม้อน้ำเป็นตัวช่วยให้เย็นลง และวนกลับไปรับความร้อนในเครื่องยนต์อีกครั้ง ทั้งนี้น้ำยาหล่อเย็นจะหมุนวนโดยการสร้างแรงผลักโดยปั๊มน้ำ โดยมีวาล์วน้ำคอยปิด-เปิดควบคุมการไหลของน้ำเพื่อให้อุณหภูมิของเครื่องอยู่ในจุดที่เหมาะสมกับการทำงานนั่นเอง

ประเภทของหม้อน้ำรถยนต์

หม้อน้ำรถยนต์นั้นสามารถแบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ ๆ ตามวัสดุได้ 2 ประเภท คือ

1. หม้อน้ำอลูมิเนียม

เป็นหม้อน้ำชนิดนี้ใช้ทั่วไปในปัจจุบัน เพราะมีน้ำหนักเบา ต้นทุนต่ำ ราคาไม่แพง และทำหน้าที่ระบายความร้อนได้อย่างดี แบ่งได้อีกสองแบบคือ แบบที่ฝาเป็นพลาสติก และแบบที่เป็นอลูมิเนียมทั้งอัน ราคาจะแพง และหาซื้อได้ค่อนข้างยาก ส่วนใหญ่สั่งทำเอา ระบายความร้อนได้ดีและทนกว่าพลาสติก ข้อเสียคือ ไม่ทนเท่าทองแดงและ ถ้าชำรุดก็ต้องยกเปลี่ยนเลย

2. หม้อน้ำทองแดง

ในสมัยก่อนหม้อน้ำชนิดนี้เป็นที่นิยมเป็นอย่างมาก พบได้ในรถเก่า 20 ปีขึ้นไป โดยมีอยู่สองแบบด้วยกัน คือ

– ผลิตจากทองเหลืองผสมทองแดง ระบายความร้อนได้ดีมาก ถึงจะมีความร้อนสะสมอยู่บ้างเล็กน้อย

– ผลิตจากทองแดงล้วน ๆ หม้อน้ำชนิดนี้ระบายความร้อนได้ดีกว่า แต่ราคาค่อนข้างแพงและบางรุ่นอาจจะต้องสั่งทำ ส่วนข้อดีของมันคือ แข็งแรงทนทาน ซ่อมได้หากชำรุด

วิธีดูแลรักษาหม้อน้ำรถยนต์

1. ตรวจสอบระดับน้ำ

สังเกตระดับน้ำให้อยู่ในระดับที่ปกติ และให้สังเกตสีของน้ำยาหล่อเย็นว่าเปลี่ยนไปหรือไม่ หากเริ่มเป็นสีสนิมก็ควรเข้าศูนย์บริการ เพื่อถ่ายเปลี่ยนน้ำยาหล่อเย็น ควรใช้เป็นน้ำยาหล่อเย็น เพราะน้ำเปล่าทำให้หม้อน้ำเสียหาย ในระยะยาวอาจจะทำให้ขึ้นสนิม และให้สังเกตว่ามีคราบน้ำยาหล่อเย็นไหลอยู่ตามหม้อน้ำรถหรือเปล่า (ห้ามเปิดฝาหม้อน้ำในขณะที่เครื่องร้อน)

2. ไม่เติมน้ำเปล่าลงในหม้อน้ำ

เพราะการเติมน้ำเปล่าส่งผลเสียหายต่อหม้อน้ำ เพราะนอกจากจะเกิดสนิม กัดกร่อนทำให้หม้อน้ำผุรั่วแล้ว ยังเกิดการอุดตันของคราบตะกรันต่างๆ เช่นหินปูนบริเวณแผงระบายความร้อนในหม้อน้ำ เครื่องจะมีความร้อนขึ้นสูงจนเกิดปัญหาตามมา

3. สังเกตเกจ์ความร้อน

เกจ์วัดความร้อนผิดปกติหรือแจ้งเตือน เหยียบคันเร่งไม่ขึ้น มีเสียงแปลกๆ หากมีอาการดังกล่าว แนะนำให้หาข้างทางจอดให้ไว้ที่สุด เพื่อเครื่องยนต์จะได้ไม่เสียหายไปมากกว่านี้ หรือที่เรียกกันว่า การโอเวอร์ฮีท จอดรถสักพักให้เครื่องเย็น เปิดฝาหม้อน้ำดูว่าน้ำลดไปไหม หากไม่แน่ใจแนะนำให้ โทรหาประกันภัย เรียกรถยก ไปอู่ซ่อมใกล้ๆ ก่อน

หม้อน้ำรถยนต์ เติมยังไง เติมน้ำอะไร

ของเหลวหรือน้ำที่ควรเติมลงในหม้อน้ำรถยนต์ ควรเป็นน้ำยาหล่อเย็นเท่านั้น เพราะน้ำยาหล่อเย็นเป็นตัวช่วยระบายความร้อนให้เครื่องยนต์โดยตรง ทำให้ไม่มีความร้อนที่สูงเกินไป รวมทั้งยังมีส่วนผสมจากสารอื่นๆ ที่ช่วยยืดอายุของหม้อน้ำ ไม่ว่าจะเป็น สารป้องกันสนิม สารป้องกันตะกรัน ช่วยหล่อลื่นปั๊มน้ำ ช่วยป้องกันการอุดตันภายในระบบหล่อเย็น ป้องกันการถูกกัดกร่อน ที่จะเป็นสาเหตุทำให้หม้อน้ำรั่วและหม้อน้ำแห้ง

วิธีเติมน้ำยาหล่อเย็น สามารถใส่เติมลงไปในถังพักน้ำหม้อน้ำได้เลย หรืออาจจะผสมน้ำกลั่นลงไปด้วย เพราะน้ำกลั่นเป็นน้ำที่ไม่มีตะกอนหรือตะกรันที่จะไปจับตัวอยู่ตามเครื่องยนต์และหม้อน้ำ ซึ่งน้ำยาหล่อเย็นในตลาดจะมีการผสมสีลงไปด้วย มีสีแดงอมชมพูและสีเขียว ที่ต้องผสมสีเพื่อให้ช่วยตรวจสอบได้ง่ายขึ้นว่าหม้อน้ำมีจุดที่รั่วซึมตรงไหน เพราะถ้าเป็นน้ำใสๆ ไม่มีสี อาจจะมองไม่เห็นจุดที่รั่วนั่นเอง

เห็นหรือยังครับว่า ถึงแม้หม้อน้ำรถยนต์จะเป็นส่วนประกอบเล็กๆ แต่ก็มีความสำคัญอย่างมากสำหรับรถยนต์ เพราะทำหน้าที่เป็นตัวระบายความร้อน เป็นสิ่งที่ควรหมั่นตรวจสอบสม่ำเสมอ ไม่ควรละเลย เพราะหากเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาจะไม่คุ้มเสีย ที่สำคัญคือ ควรดูแลสภาพรถยนต์ด้วยตัวเองเป็นประจำ อย่างน้อยเดือนละ 2 ครั้ง เพื่อช่วยให้สังเกตได้ว่ามีจุดใดที่ผิดปกติบ้าง ผู้ใช้รถจะได้ทำการแก้ไขได้อย่างทันท่วงทีนั่นเอง

ขอขอบคุณข้อมมูล : เยลโล่เซอร์วิส

วิธีดูแลรักษาหม้อน้ำรถยนต์ Read More »

4 วิธีถนอมแบตรถ EV ที่คนส่วนใหญ่ไม่เคยรู้!

เฟจเฟซบุ๊ก EPPO Thailand โดยสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กระทรวงพลังงาน เผยวิธีถนอมแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ช่วยยืดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ ป้องกันการเสื่อมเร็วผิดปกติ สามารถทำได้ง่ายๆ 4 วิธี ดังนี้

1. ไม่ปล่อยแบตเตอรี่เหลือ 0% – การปล่อยแบตเตอรี่ให้หมดเกลี้ยงแล้วค่อยชาร์จ จะทำให้แบตเตอรี่ทำงานหนักจนเกิดความร้อนสูง

2. หลีกเลี่ยงการชาร์จเต็ม 100% – การชาร์จแบตเตอรี่จนเต็ม 100% เป็นประจำ จะทำให้อายุการใช้งานของแบตเตอรี่สั้นลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการชาร์จจนเต็ม 100% ด้วยระบบชาร์จไฟแบบ DC (ชาร์จด่วน) ควรรักษาระดับแบตเตอรี่ให้อยู่ระหว่าง 20 – 80% เท่าที่จะทำได้

3. หลีกเลี่ยงการจอดรถหรือชาร์จในที่อุณหภูมิสูงจัด – หากเป็นไปได้ควรจอดชาร์จไฟในพื้นที่ร่ม เพื่อให้ระบบจัดการความร้อนของแบตเตอรี่ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยสังเกตได้ว่าหากชาร์จในบริเวณที่มีอุณหภูมิสูง กำลังการชาร์จไฟจะลดลงอย่างเห็นได้ชัด

4. จอดรถนานแบตต้องมากกว่า 30% – หากมีความจำเป็นต้องจอดรถทิ้งไว้เป็นระยะเวลานานนับเดือน ควรเหลือปริมาณไฟในแบตเตอรี่อย่างน้อย 30% เพื่อป้องกันการเสื่อมสภาพของแบตเตอรี่

เพียงปฏิบัติตามข้อแนะนำเหล่านี้เป็นประจำ ก็จะช่วยยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่ EV ได้ไม่มากก็น้อยแล้วค่ะ

ขอขอบคุณข้อมูล : SANOOK

4 วิธีถนอมแบตรถ EV ที่คนส่วนใหญ่ไม่เคยรู้! Read More »

เรื่องต้องรู้ของ “ที่ปัดน้ำฝน”

สิ่งที่ควรรู้TZ (trainingzenter) เห็นหลายคนไม่ค่อยสนใจที่ปัดน้ำฝนสักเท่าไหร่ แต่เชื่อไหมค่ะว่าเป็นอุปกรณ์หนึ่งที่สำคัญของรถยนต์แบบขาดไปไม่ได้เลย โดยเฉพาะช่วงฤดูฝนแบบนี้ และด้วยความไม่ได้คิดว่าสำคัญนี่แหละค่ะ กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ตอนจำเป็น เมื่อขับรถแล้วไปเจอฝนตก ยางที่ปัดน้ำฝนดันเสื่อมไปตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ ใช้งานไม่ดี ทำให้ทัศนวิสัยแย่ และเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุเข้าไปอีก วันนี้พี่ TZ เลยว่าจะเม้าส์เรื่องราวของ ที่ปัดน้ำฝน ให้ฟังสักหน่อย…ตั้งแต่ วิธีดูแลรักษาเพื่อยืดอายุการใช้งาน เมื่อไหร่ต้องเปลี่ยน และวิธีเลือกซื้อ

car wipers 03

1. วิธีดูแลรักษาที่ปัดน้ำฝน

  • หลีกเลี่ยงการจอดรถตากแดดเป็นเวลานาน
  • หากต้องจอดตากแดด ไม่ต้องยกก้านขึ้น เพราะจะทำให้สปริงที่ก้านเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ
  • เติมน้ำที่ปัดน้ำฝน ให้อยู่ในระดับเต็มพอดีอยู่เสมอ
  • ใช้น้ำสะอาดเติมเท่านั้น ไม่เติมน้ำยาลงในถังน้ำฉีดกระจก เพราะจะทำให้ยางและท่อเสื่อมสภาพเร็วขึ้น
  • ควรใช้ผ้าชุบน้ำหมาด ๆ เช็ดที่ปัดน้ำฝนไปในทางเดียวกัน สัปดาห์ละครั้ง
  • ทำความสะอาดกระจกรถบ่อย ๆ
  • หมั่นเปิดปุ่มฉีดน้ำบ้าง หากน้ำฉีดไม่ออก นำเข็มไปจิ้มที่รูฉีด เพราะอาจอุดตัน

2. เมื่อไหร่ต้องเปลี่ยนที่ปัดน้ำฝน

  • เมื่อยางปัดน้ำฝน เริ่มฝืด หรือสะดุด และมีเสียงดัง ขณะทำงาน
  • เมื่อไม่สามารถปัดน้ำฝนได้เกลี้ยง รีดน้ำออกไม่หมด ยังเหลือมีคราบรอยน้ำเป็นเส้นยาวอยู่
  • เมื่อยางปัดน้ำฝน มีรอยฉีก หรือแข็งกรอบ
  • เมื่อพบว่ายางปัดเสื่อม ควรเปลี่ยนใหม่ทันที เพราะนอกจากจะทำให้ทัศนวิสัยไม่ดีแล้ว ยังทำให้กระจกหรือฟิล์มเป็นรอยด้วย
car wipers 02

3. วิธีเลือกซื้อที่ปัดน้ำฝน

  • เลือกยางปัดน้ำฝน ที่ใช้วัสดุและเนื้อยางที่มีคุณภาพดี ยืดหยุ่น เพื่อความคงทน
  • รถยนต์แต่ละรุ่นใช้ยางปัดน้ำฝนขนาดต่างกัน ควรซื้อให้ถูกขนาดและรุ่น หรือวัดความยาวของอันเดิม ก่อนซื้อ
  • รถบางคัน มีที่ปัดน้ำฝน 2 ก้าน แต่ละข้างอาจความยาวไม่เท่ากัน ควรวัดความยาวทั้ง 2 ข้าง

อ่านจบกันแล้ว เชื่อว่าหลาย ๆ คน คงรู้ครบทุกเรื่องเกี่ยวกับที่ปัดน้ำฝน และพร้อมที่จะขับรถฝ่าฝนอย่างปลอดภัยแล้ว ก็อุ่นใจไปเปาะหนึ่ง แต่สิ่งที่เราอยากกำชับห้ามไม่ให้ทุกคน ลืมกันนั่นก็คือ คาดเข็มขัดทุกครั้งที่ใช้รถยนต์นะคะ

ขอบคุณที่มา : safeeducationthai

เรื่องต้องรู้ของ “ที่ปัดน้ำฝน” Read More »

ขับรถทางไกล – ระยะทางที่ควรหยุดพัก

เวลาขับรถเดินทางไกลๆ เพื่อนๆ วางแผนแวะพักกันอย่างไรบ้างครับ? วันนี้เรามีทริคเล็กๆ น้อยๆ มาแนะนำกัน

  • เมื่อเราขับไปถึงประมาณ 150 – 200 กม. หรือ 2 ชั่วโมง จะเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการจอดพัก ยืน เดิน ยืดเส้นคลายกล้ามเนื้อ แวะพักรับประทานอาหารและเข้าห้องน้ำ ใช้เวลาพักประมาณ 15-20 นาที แล้วออกเดินทางต่อ ก็จะทำให้ร่างกายไม่เกิดการเหนื่อยล้าสะสม
  • หากขับรถต่อไปถึง 3 ชั่วโมง ช่วงเวลานี้ร่างกายจะเริ่มเกิดความเหนื่อยล้าสะสม และไม่ใช่แค่เพียงร่างกายเราที่ต้องการพัก รถยนต์ที่ขับต่อเนื่องมาเป็นเวลานาน ก็ควรต้องจอดพักเครื่องยนต์ ระบายความร้อนสะสมและผ่อนคลายจากแรงเค้นต่างๆ ควรใช้เวลาพักอย่างน้อย 15-30 นาที
  • หากขับต่อเนื่องไปจนถึง 4 ชั่วโมง หรือเกิน 300 กม. ควรจอดพักทันที อย่างน้อย 30-60 นาที หรือสลับคนขับ อาจเกิดเหตุอันตรายถ้าฝืนขับต่อไป เสี่ยงต่อการหลับใน และทำให้ตัดสินใจช้าลง

ทางที่ดีและปลอดภัยที่สุด หากมีเพื่อนคุยระหว่างทาง และคอยสลับกันขับ จะช่วยให้มีสติมากยิ่งขึ้น
รู้หรือไม่…การอดนอนส่งผลให้การตัดสินใจและการตอบสนองช้าลง หากอดนอนเป็นเวลา 17-19 ชม. เปรียบเหมือนร่างกายมีระดับแอลกอฮอล์ในเลือด 0.05%

ขอขอบคุณข้อมูล : safedrivedlt

ขับรถทางไกล – ระยะทางที่ควรหยุดพัก Read More »

10 เรื่องน่ารู้ เกี่ยวกับการขับรถยนต์

วันนี้ TZ (trainingzenter) จะมาแนะนำ การมีรถยนต์หนึ่งคันสิ่งที่ตามมานั้นมีอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการดูแลรักษา ความรับผิดชอบด้านความปลอดภัยในการใช้รถบนท้องถนน  ยิ่งในยุคนี้ด้วยแล้วอะไรก็เกิดขึ้นได้เมื่อเรานั่งอยู่หลังพวงมาลัย เราลองมาดู 10 เรื่องน่ารู้ในการขับรถยนต์ที่รู้แล้ว จะทำให้คุณใช้รถใช้ถนนได้อย่างปลอดภัย

1. มีสมาธิกับการขับ เทคนิคขับรถที่ปลอดภัยคือ จะต้องใช้สายตาสาดส่ายไปมา ทั้งกระจกมองหลัง กระจกมองข้างทั้ง 2 ข้าง ไม่ว่าจะเป็นในการเปลี่ยนช่องเดินทางรถ หรือแม้แต่ขับรถทางตรง ต้องเหลือบตามองเป็นระยะให้สม่ำเสมอ การละสายตาไปมองอย่างอื่น ไม่ว่าจะเป็นระบบนำทาง ปรับเครื่องเสียง เพียงไม่กี่วินาที ก็สามารถเกิดอุบัติเหตุได้ รวมถึงงดเล่นโทรศัพท์มือถือในขณะที่รถเคลื่อนที่อยู่ และอย่าลืมละสายตามามองที่หน้าปัดบ้าง

2. ร่างกายต้องการของหวาน การนั่งขับรถเป็นเวลานาน ๆ ร่างกายมีความตื่นตัวตลอดทั้งสายตา แขน มือ ขาและเท้า ทำให้ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ จะเกิดอาการอ่อนเพลีย ง่วงนอน ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการได้แนะนำให้กินอาหารที่มีไฟเบอร์สูงอย่างลูกแพร์หรือแอปเปิล และดื่มน้ำเปล่าตาม

การรับประทานอะไรแก้ง่วงระหว่างขับรถ ช่วยให้ร่างกายกะปรี้กะเปร่าได้ดี

3. วอร์มคนก่อนออกรถ ก่อนที่จะออกรถให้คุณนั่งหลังตรงแล้วยืดศีรษะขึ้นให้สูงที่สุดพร้อม ๆ กับดันศีรษะไปที่พนักพิง ทำท่านี้ค้างไว้ 5 วินาที จากนั้นค่อยผ่อนคลายลง ทำซ้ำทั้งหมด 5 ครั้ง วิธีนี้จะช่วยปรับท่านั่งขับรถของคุณให้ถูกต้องขึ้น และช่วยกระตุ้นกล้ามเนื้อหลังให้ทำงานและปรับกระดูกสันหลังให้ตรงคุณจึงไม่เมื่อยคอขณะขับรถ

4. ขับรถแล้วปวดหลัง หลายคนมีปัญหากับพนักพิงหลังเบาะรถ ไม่ว่าจะอ่อนไปหรือแข็งไปบ้าง แนะนำให้หาตัวรองหลังสำหรับเบาะนั่งรถยนต์ มาหนุนหลัง หรือจะใช้หมอนใบขนาดพอเหมาะมารองแทนก็ได้ ยิ่งคุณประคองกระดูกสันหลังได้มากเท่าไรโอกาสที่จะปวดหลังยิ่งมีน้อยลงเท่านั้น

5. มองถนนให้ไกล อีกหนึ่งพฤติกรรมการขับรถที่ไม่ดีคือการจ้องมองพื้นถนนข้างหน้ารถหรือท้ายรถคันหน้า ทางที่ดีคุณควรฝึกมองไปข้างหน้าไกล ๆ อย่างเช่น ขณะที่เข้าโค้งก็ให้มองจุดออกจากโค้ง การมองแบบนี้ อาจทำให้คุณรู้สึกเหมือนจะหลุดออกไปนอกถนน แต่ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้นเพราะการมองเห็นทั้งโค้ง จะช่วยให้คุณเข้าโค้งตามไลน์ได้ถูกต้อง

6. ปรับแอร์ให้เป็น เคล็ดลับขับรถอีกอย่างหนึ่งที่หลายคนมองข้าม เวลาขับรถในเมืองให้ปรับแอร์เป็นระบบหมุนเวียน เพื่อป้องกันกลิ่นไอเสีย หรืออากาศร้อนจากห้องเครื่องเมื่อรถติดเข้ามาในรถ ทำให้แอร์ทำงานหนักมากยิ่งขึ้น แต่เมื่อต้องการขับรถทางไกล และมีผู้โดยสารอยู่หลายคน ทำให้อากาศภายในหมุนเวียนภายในไม่เพียงพอ ทำให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารจะมีอาการง่วงนอนได้ ให้เปิดระบบเอาอากาศข้างนอกเข้ามาเป็นระยะ ๆ

7. นั่งทับกระเป๋าตังค์ใช่ว่าดี หลายๆ คนชอบเอากระเป๋าตังค์ไว้ที่กระเป๋าหลังกางเกง โดยเฉพาะผู้ชาย แล้วไปนั่งขับรถเป็นเวลานานๆ จะทำให้สะโพกสองข้างหนาไม่เท่ากัน เวลานั่งบนเบาะกระดูกสันหลังก็เลยคดและส่งผลให้กล้ามเนื้อหลังต้องทำงานหนัก รวมถึงยังเป็นการเพิ่มแรงกดลงบนเส้นประสาทบริเวณกระดูกสะโพกซึ่งเป็นสาเหตุของอาการปวดหลัง

8. ลดน้ำหนักรถ หลายคนชอบเอาของใช้มาไว้ในท้ายรถ เป็นการเพิ่มน้ำหนักรถโดยไม่จำเป็น และจะทำให้อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันนั้นสูงขึ้นไปด้วย ควรเอาของใช้ออกจากรถบ้าง รวมถึงอุปกรณ์เสริมติดรถที่ใช้เป็นบางเวลา อย่างเช่น แร็คติดจักรยาน ที่วางสัมภาระบนหลังคา เมื่อไม่ได้ใช้ก็ควรถอดออก

ปรับเบาะไฟฟ้าให้ถูกสรีระของตัวเอง ช่วยให้ขับรถนานๆ ได้ไม่เมื่อยล้า

9. ปรับเบาะที่นั่ง บรรดาผู้ใช้รถเอสยูวี หรือรถอเนกประสงค์ทั้งหลาย ที่จะมีตัวรถที่สูง ตำแหน่งผู้ขับขี่จะสูงตามไปด้วย เมื่อตำแหน่งที่สูงการมองเห็นจะกว้างกว่าปกติ เวลาขับแล้วจะรู้สึกว่ารถเราไปช้าจะคอยเติมคั่นเร่งอยู่ตลอด ซึ่งแตกต่างจากจากรถที่ต่ำ จะเห็นระนาบถนนมากกว่า จะรู้สึกว่าขับเร็วอยู่ ผู้ใช้รถเอสยูวี ควรลองปรับลดระดับเบาะนั่งให้ต่ำที่สุดแล้วลองขับดู จะได้ความรู้สึกความเร็วเสมือนจริงมากขึ้น

10. อย่าขับรถจี้ท้าย การขับจี้ท้ายรถคันหน้าทำให้รถติด ซึ่งคนขับรถจะต้องเหยียบเบรคบ่อยเกินเหตุเวลาขับจี้ท้าย ดังนั้นรถคันหลังที่ขับตามมาก็จะต้องเหยียบเบรคตามไปด้วย ทุกคนเลยขับรถกระตุกแบบเหยียบเบรคแล้วก็ปล่อยตามกันไปเป็นแถว ทำให้การขับรถไม่ต่อเนื่องไม่สามารถใช้ความเร็วคงที่ได้

ขอบคุณข้อมูลจาก : roojai

10 เรื่องน่ารู้ เกี่ยวกับการขับรถยนต์ Read More »

ใช้โทรศัพท์ขณะขับขี่ เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ

การใช้โทรศัพท์มือถือขณะขับขี่รถจักรยานยนต์ กำลังเป็นภาพที่พบเห็นได้ทั่วไป แต่เป็นเรื่องอันตรายอย่างยิ่ง เพราะการใช้โทรศัพท์มือถือขณะขับขี่และซ้อนท้าย เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุ !! จนถึงขั้นบาดเจ็บ พิการและเสียชีวิตสูงขึ้น ? วันนี้ TZ (trainingzenter) สถาบันสอนขับรถ ต่อใบขับขี่ เรียนขับรถ ความห่วงใยมาถึงทุกคนที่ใช้รถ ใช้ถนน ร่วมกันค่ะ

1. การใช้โทรศัพท์มือถือขณะขับขี่เพิ่มความเสี่ยงต่อการชนและเกิดอุบัติเหตุมากขึ้นกว่า 20 เท่า เพราะทำให้ผู้ขับขี่เสียสมาธิ และปฏิกิริยาตอบสนองช้าลง

2. การคุยโทรศัพท์ระหว่างการขับขี่ เพิ่มโอกาสการเบรกกะทันหัน เพราะผู้ขับขี่ไม่ทันสังเกตป้ายเตือนหรือสัญญาณไฟ ที่ต้องเตรียมชะลอความเร็วจากระยะไกล ทำให้เกิดอุบัติเหตุซ้ำซ้อนจากรถที่ขับตามมาจนเกิดการเฉี่ยวชนกันได้

3. เนื่องจากต้องละสายตาออกจากเส้นทางเฉลี่ย 4.6 วินาที ซึ่งระหว่างที่ละสายตานั้น จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้ตลอดเวลา

4.โทรศัพท์ขณะขับขี่ผิดกฎหมายและมีโทษ หากคุณใช้โทรศัพท์มือถือขณะขับรถ มีโทษปรับสูงสุดไม่เกิน 4,000 บาท และถูกตัดแต้มใบขับขี่ 1 คะแนน

พรบ.จราจรทางบก มาตรา 43 (9)แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่13) พ.ศ. 2565  ห้ามผู้ขับขี่ขับรถขณะใช้โทรศัพท์ ยกเว้นการใช้โทรศัพท์โดยไม่ต้องถือหรือจับ หากจำเป็นต้องคุยโทรศัพท์เพื่อติดต่อธุระหรือนัดหมาย ควรเลือกวิธีการ ต่อไปนี้

ใช้หูฟัง อุปกรณ์เชื่อมต่อแบบไร้สาย อุปกรณ์เสริมสำหรับการสนทนา โดยสวมเพียงข้างเดียว เพื่อให้สามารถได้ยินเสียงรถ หรือรับรู้ถึงอันตรายบนท้องถนนได้ หรือเปิดลำโพงสนทนา โดยผู้ขับขี่ไม่ต้องถือหรือจับโทรศัพท์เคลื่อนที่

  • ใช้อุปกรณ์เสริมสำหรับยึดหรือติดโทรศัพท์เคลื่อนที่ไว้กับส่วนหน้าของตัวรถทุกครั้งก่อนการขับรถ ทั้งนี้ต้องไม่บดบังทัศนวิสัยหรือเสียความสามารถในการขับรถ
  • หากผู้ขับขี่มีความจำเป็นต้องถือ จับ หรือสัมผัสโทรศัพท์เคลื่อนที่เพื่อใช้งานโดยประการใดๆ ให้ผู้ขับขี่หยุดหรือจอดรถในสถานที่สำหรับจอดรถอย่างปลอดภัยก่อนใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ดังกล่าว

ขอขอบคุณข้อมูล : ขับขี่ปลอดภัยbyDLT

การใช้โทรศัพท์มือถือขณะขับขี่รถจักรยานยนต์ กำลังเป็นภาพที่พบเห็นได้ทั่วไป แต่เป็นเรื่องอันตรายอย่างยิ่ง เพราะการใช้โทรศัพท์มือถือขณะขับขี่และซ้อนท้าย เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุ !! จนถึงขั้นบาดเจ็บ พิการและเสียชีวิตสูงขึ้น ? วันนี้ ID Driver สถาบันสอนขับรถ ต่อใบขับขี่ เรียนขับรถ ความห่วงใยมาถึงทุกคนที่ใช้รถ ใช้ถนน ร่วมกันค่ะ

1. การใช้โทรศัพท์มือถือขณะขับขี่เพิ่มความเสี่ยงต่อการชนและเกิดอุบัติเหตุมากขึ้นกว่า 20 เท่า เพราะทำให้ผู้ขับขี่เสียสมาธิ และปฏิกิริยาตอบสนองช้าลง

2. การคุยโทรศัพท์ระหว่างการขับขี่ เพิ่มโอกาสการเบรกกะทันหัน เพราะผู้ขับขี่ไม่ทันสังเกตป้ายเตือนหรือสัญญาณไฟ ที่ต้องเตรียมชะลอความเร็วจากระยะไกล ทำให้เกิดอุบัติเหตุซ้ำซ้อนจากรถที่ขับตามมาจนเกิดการเฉี่ยวชนกันได้

3. เนื่องจากต้องละสายตาออกจากเส้นทางเฉลี่ย 4.6 วินาที ซึ่งระหว่างที่ละสายตานั้น จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้ตลอดเวลา

4.โทรศัพท์ขณะขับขี่ผิดกฎหมายและมีโทษ หากคุณใช้โทรศัพท์มือถือขณะขับรถ มีโทษปรับสูงสุดไม่เกิน 4,000 บาท และถูกตัดแต้มใบขับขี่ 1 คะแนน

.

พรบ.จราจรทางบก มาตรา 43 (9)แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่13) พ.ศ. 2565  ห้ามผู้ขับขี่ขับรถขณะใช้โทรศัพท์ ยกเว้นการใช้โทรศัพท์โดยไม่ต้องถือหรือจับ หากจำเป็นต้องคุยโทรศัพท์เพื่อติดต่อธุระหรือนัดหมาย ควรเลือกวิธีการ ต่อไปนี้

ใช้หูฟัง อุปกรณ์เชื่อมต่อแบบไร้สาย อุปกรณ์เสริมสำหรับการสนทนา โดยสวมเพียงข้างเดียว เพื่อให้สามารถได้ยินเสียงรถ หรือรับรู้ถึงอันตรายบนท้องถนนได้ หรือเปิดลำโพงสนทนา โดยผู้ขับขี่ไม่ต้องถือหรือจับโทรศัพท์เคลื่อนที่

  • ใช้อุปกรณ์เสริมสำหรับยึดหรือติดโทรศัพท์เคลื่อนที่ไว้กับส่วนหน้าของตัวรถทุกครั้งก่อนการขับรถ ทั้งนี้ต้องไม่บดบังทัศนวิสัยหรือเสียความสามารถในการขับรถ
  • หากผู้ขับขี่มีความจำเป็นต้องถือ จับ หรือสัมผัสโทรศัพท์เคลื่อนที่เพื่อใช้งานโดยประการใดๆ ให้ผู้ขับขี่หยุดหรือจอดรถในสถานที่สำหรับจอดรถอย่างปลอดภัยก่อนใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ดังกล่าว

ขอขอบคุณข้อมูล : ขับขี่ปลอดภัยbyDLT

ใช้โทรศัพท์ขณะขับขี่ เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ Read More »

เบรคมอเตอร์ไซค์ออโต้ มีกี่แบบ และใช้อย่างไรจึงปลอดภัย

เบรมอเตอร์ไซค์ออโต้ มีกี่แบบ และใช้อย่างไรจึงปลอดภัย
เรื่องความเร็วถือว่าสำคัญอย่างมากเมื่อขี่มอเตอร์ไซค์บนท้องถนน ไม่ใช่แค่รถต้องเร็วต้องแรงเท่านั้น แต่ยังต้องหยุดเมื่อควรหยุดและควบคุมความเร็วให้เหมาะสมได้ ซึ่งเรื่องนั้นต้องอาศัยระบบเบรคที่มีประสิทธิภาพ และเมื่อพูดถึงระบบเบรคเราก็มีเรื่องน่ารู้มาฝากอีกเช่นเคย

เชื่อว่าหลายคน (รวมถึงคนที่ขี่มอเตอร์ไซค์ทุกวัน) ยังไม่รู้จักระบบเบรคมอเตอร์ไซค์ดีพอ ไม่รู้ว่าเบรคมอเตอร์ไซค์มีกี่ประเภท รวมถึงยังไม่รู้ด้วยว่ามอเตอร์ไซค์ก็มีวิธีเบรคที่ถูกต้องและปลอดภัยด้วย

ระบบเบรมอเตอร์ไซค์
ระบบเบรคมอเตอร์ไซค์โดยทั่วไปแบ่งเป็น 3 ระบบได้แก่ เบรคหน้า เบรคหลัง และเบรคด้วยเครื่องยนต์ หรือ Engine Brake โดยทั้ง 3 ระบบ จะแตกต่างกันที่ลักษณะการใช้งาน ดังนี้

1.เบรหน้า (Front Brake)
เบรคหน้า เป็นระบบเบรคมอเตอร์ไซค์ที่มีประสิทธิภาพในการชะลอความเร็วและหยุดรถมากที่สุด เหมาะกับการเบรคที่ไม่ต้องการระยะเบรคมากนัก โดยก้านเบรคหน้าจะติดตั้งอยู่ที่แฮนด์ด้านขวาของผู้ขับขี่ ระบบเบรคหน้าทำงานโดยส่งแรงบีบจากก้านเบรกไปตามสายเพื่อสูบฉีดน้ำมันเบรคไปยังคาลิเปอร์ให้บีบผ้าเบรคเข้ากับจานเบรค

เมื่อต้องเบรคแบบกะทันหันการบีบก้านเบรคหน้าเบาๆ แล้วลงน้ำหนักช้าๆ จนรถหยุดก็เพียงพอแล้ว และการบีบก้านเบรคหน้าแบบเต็มแรงมือไปเลยนั้นก็มีโอกาสที่รถมอเตอร์ไซค์จะเสียหลักได้

2. เบรหลัง (Rear Brake)
ระบบเบรคหลังจะมีประสิทธิภาพในการหยุดรถมอเตอร์ไซค์น้อยกว่าระบบเบรคหน้า แต่ส่วนมากจะใช้เพื่อชะลอความเร็วของรถจึงเหมาะกับการเบรคที่ต้องเผื่อระยะเบรคมากหน่อย ไม่แนะนำให้ใช้ในกรณีที่ต้องเบรคแบบกะทันหันเพราะถ้าผู้ขับขี่กะระยะเบรคผิดรถอาจจะหยุดไม่ทันและเกิดอุบัติเหตุได้ โดยระบบเบรคหลังจะติดตั้งอยู่ที่แฮนด์ด้านซ้ายของผู้ขับขี่

3. เบรด้วยเครื่องยนต์ (Engine Brake)
ระบบนี้เป็นการชะลอความเร็วด้วยแรงฉุดของรอบเครื่องยนต์ที่ตกลงจากรอบปัจจุบันหลังจากเราปล่อยคันเร่ง เป็นกลไกของเครื่องยนต์ สามารถชะลอความเร็วได้โดยไม่ต้องบีบก้านเบรก แต่ถ้าต้องการหยุดรถก็ยังจำเป็นต้องใช้ระบบเบรคอื่นๆ ร่วมด้วย

เบรอย่างไรให้ปลอดภัย ?
รถเสียหลัก คือเรื่องที่เกิดขึ้นได้จากการหยุดรถแบบกะทันหัน และจากลักษณะการใช้งานของระบบเบรคมอเตอร์ไซค์ทั้ง 3 ระบบ ที่พูดไปแล้วนั้น จะเห็นว่าสิ่งที่ต้องคำนึงถึงเมื่อใช้งานเบรคก็คือ น้ำหนักในการบีบก้านเบรกและการกะระยะเบรคให้เหมาะสม ซึ่งทั้ง 2 อย่างอาจจะไม่ใช่เรื่องยากสำหรับคนที่ชั่วโมงบิดสูง ขี่มอเตอร์ไซค์และกำเบรคจนชินมือ แต่สำหรับคนที่ยังต้องการคำแนะนำอยู่ เราแนะนำให้ออกแรงบีบก้านเบรคเพียง 20-30 เปอร์เซ็นต์ สำหรับการหยุดรถด้วยเบรคหน้า และให้ออกแรงบีบก้านเบรคประมาณ 70-80 เปอร์เซ็นต์ สำหรับการหยุดรถด้วยเบรคหลัง และควรเพิ่มการกะระยะเบรคให้มากขึ้นกว่าปกติ

ขอบคุณข้อมูลจาก : yamahataworn

เบรคมอเตอร์ไซค์ออโต้ มีกี่แบบ และใช้อย่างไรจึงปลอดภัย Read More »