สอบ ใบขับขี่

วิธีดูแลรักษาหม้อน้ำรถยนต์

เชื่อว่าหลายคนต้องเคยเจอกับเหตุการณ์ที่ว่าขับรถอยู่ดีๆ เครื่องยนต์ก็ดับไปซะเฉยๆ สตาร์ทเครื่องอีกครั้งก็ไม่ติดแล้ว รู้สาเหตุอีกทีก็มาจาก หม้อน้ำ นั่นเอง ซึ่งปัญหาเครื่องยนต์ส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้น เกิดจากปัญหาเรื่องระบบระบายความร้อนของ หม้อน้ำรถยนต์

ที่เจ้าของรถส่วนใหญ่ค่อนข้างละเลยส่วนนี้ และไม่ค่อยให้ความสำคัญเท่าไหร่นัก รวมถึงบางคนยังขาดความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องหม้อน้ำรถยนต์ว่ามีความสำคัญอย่างไรกับเครื่องยนต์ อีกทั้งการดูแลรักษาแบบผิดวิธี อย่างการเติมน้ำเปล่าแทนน้ำยาหล่อเย็น หรือการเลือกใช้น้ำยาหล่อเย็นที่ไร้คุณภาพ จนทำให้เกิดการอุดตัน วันนี้เราจะทุกคนมาทำความเข้าใจกับเรื่องหม้อน้ำรถยนต์ให้มากขึ้น วันนี้ TZ (trainingzenter) พร้อมแนะนำเทคนิคการดูแลหม้อน้ำรถยนต์อย่างถูกวิธี ที่คนรักรถไม่ควรพลาดค่ะ

หม้อน้ำ คืออะไร

หม้อน้ำ คือ อุปกรณ์แลกเปลี่ยนความร้อน จากน้ำที่ไหลมาจากโพรงผนังเสื้อสูบ โดยจะเข้ามาสู่หม้อน้ำทางด้านบน จากนั้นน้ำดังกล่าวไหลลงมาตามท่อน้ำในหม้อน้ำ ท่อน้ำเหล่านี้ จะเชื่อมติดกับครีบระบายความร้อน (รังผึ้ง) ซึ่งทำจากโลหะที่ถ่ายเท ความร้อนได้รวดเร็ว

เมื่อน้ำที่มีอุณหภูมิสูงเหล่านี้ เคลื่อนตัวจากด้านบน ลงสู่ด้านล่าง ก็จะถ่ายเทความร้อนออกไป ให้กับครีบระบายความร้อนดังกล่าว ขณะเดียวกัน พัดลมหม้อน้ำ (Fan) ก็จะทำการหมุน เพื่อดูดอากาศที่อยู่ด้านหน้าหม้อน้ำ ผ่านครีบระบายความร้อนหม้อน้ำ ออกมาทางด้านหลัง

เป็นการแลกเปลี่ยนความร้อนไปเป็นอากาศ เมื่อน้ำที่มีอุณหภูมิสูง ไหลลงสู่ด้านล่าง อุณหภูมิ ก็จะลดลงมาตามลำดับ บริเวณด้านล่างหม้อน้ำ จะมีท่อยางหม้อน้ำ ต่อไปสู่ทางเข้าผนังเสื้อสูบอีกที ทำให้น้ำที่มีอยู่ในระบบ ไหลเวียนไปมา ระหว่างโพรงผนังห้องเครื่อง กับหม้อน้ำได้อย่างต่อเนื่อง

หม้อน้ำ สำคัญอย่างไร

หน้าที่สำคัญของหม้อน้ำรถยนต์ คือ ช่วยระบายความร้อนส่วนเกินจากการเผาไหม้ของเครื่องยนต์ เพราะการเผาไหม้เชื้อเพลิงแต่ละครั้ง จะมีอุณหภูมิสูงมาก ความร้อนที่เกิดขึ้นจะต้องมีน้ำยาหล่อเย็นเป็นตัวนำพาความร้อนส่วนเกินนี้ มาลดอุณหภูมิลงที่บริเวณรังผึ้งหม้อน้ำ

โดยมีพัดลมหม้อน้ำเป็นตัวช่วยให้เย็นลง และวนกลับไปรับความร้อนในเครื่องยนต์อีกครั้ง ทั้งนี้น้ำยาหล่อเย็นจะหมุนวนโดยการสร้างแรงผลักโดยปั๊มน้ำ โดยมีวาล์วน้ำคอยปิด-เปิดควบคุมการไหลของน้ำเพื่อให้อุณหภูมิของเครื่องอยู่ในจุดที่เหมาะสมกับการทำงานนั่นเอง

ประเภทของหม้อน้ำรถยนต์

หม้อน้ำรถยนต์นั้นสามารถแบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ ๆ ตามวัสดุได้ 2 ประเภท คือ

1. หม้อน้ำอลูมิเนียม

เป็นหม้อน้ำชนิดนี้ใช้ทั่วไปในปัจจุบัน เพราะมีน้ำหนักเบา ต้นทุนต่ำ ราคาไม่แพง และทำหน้าที่ระบายความร้อนได้อย่างดี แบ่งได้อีกสองแบบคือ แบบที่ฝาเป็นพลาสติก และแบบที่เป็นอลูมิเนียมทั้งอัน ราคาจะแพง และหาซื้อได้ค่อนข้างยาก ส่วนใหญ่สั่งทำเอา ระบายความร้อนได้ดีและทนกว่าพลาสติก ข้อเสียคือ ไม่ทนเท่าทองแดงและ ถ้าชำรุดก็ต้องยกเปลี่ยนเลย

2. หม้อน้ำทองแดง

ในสมัยก่อนหม้อน้ำชนิดนี้เป็นที่นิยมเป็นอย่างมาก พบได้ในรถเก่า 20 ปีขึ้นไป โดยมีอยู่สองแบบด้วยกัน คือ

– ผลิตจากทองเหลืองผสมทองแดง ระบายความร้อนได้ดีมาก ถึงจะมีความร้อนสะสมอยู่บ้างเล็กน้อย

– ผลิตจากทองแดงล้วน ๆ หม้อน้ำชนิดนี้ระบายความร้อนได้ดีกว่า แต่ราคาค่อนข้างแพงและบางรุ่นอาจจะต้องสั่งทำ ส่วนข้อดีของมันคือ แข็งแรงทนทาน ซ่อมได้หากชำรุด

วิธีดูแลรักษาหม้อน้ำรถยนต์

1. ตรวจสอบระดับน้ำ

สังเกตระดับน้ำให้อยู่ในระดับที่ปกติ และให้สังเกตสีของน้ำยาหล่อเย็นว่าเปลี่ยนไปหรือไม่ หากเริ่มเป็นสีสนิมก็ควรเข้าศูนย์บริการ เพื่อถ่ายเปลี่ยนน้ำยาหล่อเย็น ควรใช้เป็นน้ำยาหล่อเย็น เพราะน้ำเปล่าทำให้หม้อน้ำเสียหาย ในระยะยาวอาจจะทำให้ขึ้นสนิม และให้สังเกตว่ามีคราบน้ำยาหล่อเย็นไหลอยู่ตามหม้อน้ำรถหรือเปล่า (ห้ามเปิดฝาหม้อน้ำในขณะที่เครื่องร้อน)

2. ไม่เติมน้ำเปล่าลงในหม้อน้ำ

เพราะการเติมน้ำเปล่าส่งผลเสียหายต่อหม้อน้ำ เพราะนอกจากจะเกิดสนิม กัดกร่อนทำให้หม้อน้ำผุรั่วแล้ว ยังเกิดการอุดตันของคราบตะกรันต่างๆ เช่นหินปูนบริเวณแผงระบายความร้อนในหม้อน้ำ เครื่องจะมีความร้อนขึ้นสูงจนเกิดปัญหาตามมา

3. สังเกตเกจ์ความร้อน

เกจ์วัดความร้อนผิดปกติหรือแจ้งเตือน เหยียบคันเร่งไม่ขึ้น มีเสียงแปลกๆ หากมีอาการดังกล่าว แนะนำให้หาข้างทางจอดให้ไว้ที่สุด เพื่อเครื่องยนต์จะได้ไม่เสียหายไปมากกว่านี้ หรือที่เรียกกันว่า การโอเวอร์ฮีท จอดรถสักพักให้เครื่องเย็น เปิดฝาหม้อน้ำดูว่าน้ำลดไปไหม หากไม่แน่ใจแนะนำให้ โทรหาประกันภัย เรียกรถยก ไปอู่ซ่อมใกล้ๆ ก่อน

หม้อน้ำรถยนต์ เติมยังไง เติมน้ำอะไร

ของเหลวหรือน้ำที่ควรเติมลงในหม้อน้ำรถยนต์ ควรเป็นน้ำยาหล่อเย็นเท่านั้น เพราะน้ำยาหล่อเย็นเป็นตัวช่วยระบายความร้อนให้เครื่องยนต์โดยตรง ทำให้ไม่มีความร้อนที่สูงเกินไป รวมทั้งยังมีส่วนผสมจากสารอื่นๆ ที่ช่วยยืดอายุของหม้อน้ำ ไม่ว่าจะเป็น สารป้องกันสนิม สารป้องกันตะกรัน ช่วยหล่อลื่นปั๊มน้ำ ช่วยป้องกันการอุดตันภายในระบบหล่อเย็น ป้องกันการถูกกัดกร่อน ที่จะเป็นสาเหตุทำให้หม้อน้ำรั่วและหม้อน้ำแห้ง

วิธีเติมน้ำยาหล่อเย็น สามารถใส่เติมลงไปในถังพักน้ำหม้อน้ำได้เลย หรืออาจจะผสมน้ำกลั่นลงไปด้วย เพราะน้ำกลั่นเป็นน้ำที่ไม่มีตะกอนหรือตะกรันที่จะไปจับตัวอยู่ตามเครื่องยนต์และหม้อน้ำ ซึ่งน้ำยาหล่อเย็นในตลาดจะมีการผสมสีลงไปด้วย มีสีแดงอมชมพูและสีเขียว ที่ต้องผสมสีเพื่อให้ช่วยตรวจสอบได้ง่ายขึ้นว่าหม้อน้ำมีจุดที่รั่วซึมตรงไหน เพราะถ้าเป็นน้ำใสๆ ไม่มีสี อาจจะมองไม่เห็นจุดที่รั่วนั่นเอง

เห็นหรือยังครับว่า ถึงแม้หม้อน้ำรถยนต์จะเป็นส่วนประกอบเล็กๆ แต่ก็มีความสำคัญอย่างมากสำหรับรถยนต์ เพราะทำหน้าที่เป็นตัวระบายความร้อน เป็นสิ่งที่ควรหมั่นตรวจสอบสม่ำเสมอ ไม่ควรละเลย เพราะหากเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาจะไม่คุ้มเสีย ที่สำคัญคือ ควรดูแลสภาพรถยนต์ด้วยตัวเองเป็นประจำ อย่างน้อยเดือนละ 2 ครั้ง เพื่อช่วยให้สังเกตได้ว่ามีจุดใดที่ผิดปกติบ้าง ผู้ใช้รถจะได้ทำการแก้ไขได้อย่างทันท่วงทีนั่นเอง

ขอขอบคุณข้อมมูล : เยลโล่เซอร์วิส

วิธีดูแลรักษาหม้อน้ำรถยนต์ Read More »

ทำไมต้องเปลี่ยนน้ำมันเครื่องพร้อมไส้กรอง

วันนี้ TZ(trainingzenter) หน้าที่ของไส้กรองน้ำมันเครื่อง ก็คือ “กรองน้ำมันเครื่อง” โดยอาศัยวิธีการให้น้ำมันเครื่องที่ผ่านการใช้งานแล้ว ซึมผ่านกระดาษกรองเข้าไปสู่แกนกลางของตัวกรอง จากนั้นจึงส่งน้ำมันไปยังชิ้นส่วนต่างๆ ภายในเครื่องยนต์ โดยจะดักจับสิ่งแปลกปลอมต่างๆ เช่น เขม่า, เศษโลหะเล็กๆ และฝุ่นผงต่างๆ ไว้ที่กระดาษกรองภายในตัวไส้กรองน้ำมันเครื่องจะมีอุปกรณ์ตัวหนึ่งชื่อ บายพาสวาล์ว (Bypass Valve) หรือ เซฟตี้วาล์ว (Safety Valve) ทำหน้าที่ระบายหรือปล่อยผ่านน้ำมันเครื่องให้เข้าไปหล่อลื่นชิ้นส่วนต่างๆ ภายในเครื่องยนต์ โดยไม่ต้องผ่านกระดาษกรองเมื่อกระดาษกรองเกิดการอุดตันจนมีแรงดันของน้ำมันเครื่องเกินกว่าแรงดันของบายพาสวาล์ว เพื่อป้องกันไม่ให้เครื่องยนต์เกิดความเสียหาย

ทำไมต้องเปลี่ยนน้ำมันเครื่องพร้อมไส้กรอง ?

น้ำมันเครื่อง เป็นสารหล่อลื่นที่จะช่วยยืดการใช้งานของเครื่องยนต์ น้ำมันเครื่องใหม่จะมีประสิทธิภาพในการลดการสึกหรอของเครื่องยนต์ดีกว่า ทำให้เราต้องเปลี่ยนน้ำมันหล่อลื่นเครื่องยนต์อย่างสม่ำเสมอ น้ำมันเครื่องเมื่อถูกใช้งานแล้วจะเสื่อมสภาพลงเรื่อยๆ ทำให้คุณสมบัติของน้ำมันเครื่องไม่เหมาะสมที่จะใช้งานต่อไปสามารถสังเกตได้จากน้ำมันเครื่องที่ถ่ายออกมาหลังจาก ใช้งานครบระยะ จะมีสีเข้มขึ้น มีความข้นเหนียวมากขึ้นและมีตะกอน คราบเขม่าต่างๆ ปนอยู่ด้วย ซึ่งต่างจากตอนที่ใส่เข้าไปใหม่จะค่อนข้างเหลวและใส

ไส้กรองน้ำมันเครื่อง ทำหน้าที่กรองสิ่งสกปรกจากน้ำมันเครื่องที่ไหลเวียนในระบบ เนื่องจากไส้กรองฯ เป็นตัวดักเก็บสิ่งเจือปนต่างๆที่อยู่ในน้ำมันเครื่อง ทั้งเขม่า ตะกอน รวมไปถึงเศษโลหะของชิ้นส่วนเครื่องยนต์ หากไส้กรองอุดตันจะปล่อยน้ำมันเครื่องที่มีสิ่งสกปรกเจือปนไหลออกมาโดยไม่ผ่านการกรองและเป็นสาเหตุให้เครื่องยนต์สึกหรอเร็วกว่าปกติได้

ขอขอบคุณข้อมูล : เยลโล่เซอร์วิส

ทำไมต้องเปลี่ยนน้ำมันเครื่องพร้อมไส้กรอง Read More »

น้ำมันเครื่อง แต่ละชนิดต่างกันอย่างไร มีประเภทไหนบ้าง รถเก่าควรใช้น้ำมันเครื่องเบอร์อะไร

น้ำมันเครื่อง หรือ Engine Lubricant ถือเป็นสารหล่อลื่นที่สำคัญที่สุดอีกอย่างหนึ่งในกระบวนการทำงานของเครื่องยนต์ ซึ่งแน่นอนว่า ผู้ใช้รถเกือบจะทุกคนคงเคยผ่านการ ถ่ายน้ำมันเครื่อง ให้กับรถของตัวเองมาบ้าง แล้วเคยสงสัยไหมว่า น้ำมันเครื่องที่มีอยู่มากมายในท้องตลาดมันต่างกันอย่างไร และแบบไหนที่เหมาะกับรถของคุณกันแน่ วันนี้ TZ (trainingzenter) จะพามาทำความรู้จักการเลือกใช้น้ำมันเครื่องกันค่ะ

ประเภทของน้ำมันเครื่อง

ก่อนอื่นเราต้องแบ่งแยกประเภทของน้ำมันเครื่องกันให้ได้ก่อน ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะแบ่งออกเป็น 3 ชนิด หรือจะเรียกว่า 3 เกรด

1. น้ำมันเครื่องเกรดเดี่ยว หรือแบบพื้นฐาน

น้ำมันเครื่องเกรดเดี่ยว หรือแบบพื้นฐานนี้ จะมีค่าความหนืดที่เหมาะสมกับอุณหภูมิเดียวตามฉลากบนแกลอน เช่น SAE 50 หรือ SAE40 ซึ่งหมายความว่าน้ำมันเครื่องชนิดนี้จะปกป้องเครื่องยนต์ได้ดีที่สุด ที่อุณหภูมิ 50 หรือ 40 องศา ตามที่ระบุไว้

ซึ่งแบบนี้จะเหมาะกับรถรุ่นเก่าๆ ที่ใช้รอบเครื่องยนต์ต่ำๆ หรือประเทศเขตร้อนอย่างบ้านเรา ข้อดีคือราคาถูก แต่ไม่เป็นที่นิยมเพราะอายุการใช้งานสั้น

2. น้ำมันเครื่องเกรดรวม หรือ Multi Grad

น้ำมันเครื่องเกรดรวม หรือ Multi Grad เป็นน้ำมันเครื่องที่สามารถเปลี่ยนแปลงค่าความหนืดได้ เช่น ในอุณหภูมิสูงก็จะมีความใส พออุณหภูมิต่ำลงก็ยังสามารถคงความข้นใสเอาไว้ได้ เพื่อให้เหมาะสมกับการเลือกใช้ในทุกอุณหภูมิของเครื่องยนต์

สังเกตง่ายๆ คือจะระบุค่าความหนีดมาให้ 2 ตัว โดยมีตัวอักษร W คั่นกลาง เช่น SAE 20W50 หรือ API 15W40 เป็นต้น ซึ่งปัจจุบันเป็นแบบที่นิยมใช้มากที่สุด หาซื้อได้ทั่วไป นิยมใช้กับรถรุ่นใหม่

3. น้ำมันเครื่องสังเคราะห์” หรือ “Synthetic”

น้ำมันเครื่องสังเคราะห์ หรือ “Synthetic”  คือ น้ำมันเครื่องที่ผลิตจากน้ำมันแร่ ซึ่งได้จากกระบวนการทางปิโตรเลี่ยม เพื่อให้มีคุณสมบัติพิเศษกว่าน้ำมันแร่ทั่วไป เช่น ความคงทนต่อการทำปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศ อายุการเปลี่ยนถ่ายและการใช้งานนานขึ้น มีอัตราการระเหยต่ำลดปัญหาการสิ้นเปลืองหล่อลื่น รวมถึงแบบ กึ่งสังเคราะห์ (Semi-Synthetic) ที่ผลิตจากการนำน้ำมันแร่มาผสมกับน้ำมันพื้นฐานสังเคราะห์เพื่อเสริมคุณสมบัติให้ดีขึ้นกว่าน้ำมันเครื่องทั่วไป และมีราคาถูกกว่าน้ำมันเครื่องสังเคราะห์

อักษรย่อหน้าค่าความหนืด

ส่วนเจ้าอักษรย่อหน้าค่าความหนืด นั้นคือตัวย่อของสถาบันที่ทำการทดสอบและรับรองคุณภาพของน้ำมันเครื่อง ซึ่งหลักๆ แล้วจะมีอยู่ 3 สถาบัน คือ

1. API หรือ AMERICAN PETROLEUM INSTITUTE ซึ่งเป็นสถาบันที่ทำหน้าที่ค้นคว้าวิจัย และวางมาตราฐานเกี่ยวกับน้ำมันต่างๆ ของประเทศสหรัฐอเมริกา

2. SAE หรือ SOCIETY OF AUTOMOTIVE ENGINEERS อันนี้คือสมาคมที่ค้นคว้าวิจัยและวางหลักเกณฑ์มาตราฐานต่างๆ เกี่ยวกับรถยนต์ต่างๆ ของประเทศสหรัฐอเมริกา

3. ASTM หรือ AMERICAN SOCIETY FOR TESTING AND MATERIALS ซึ่งเป็นสมาคมที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการทดสอบวัตถุต่างๆ ของประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งแบบนี้มีให้เห็นมากนัก

เลขเบอร์น้ำมันเครื่อง

คราวนี้ก็มาทำความเข้าใจกับตัวเลขและตัวอักษรที่เหลือว่ามันคืออะไร ซึ่งตรงนี้ควรใส่ใจเป็นพิเศษเพราะมันมีผลต่อสมรรถนะของเครื่องยนต์ และมีตัวเลขให้เลือกอยู่หลายชุดยก ตัวอย่างเช่น 0W-40, 5W-40, 10W-40, 5W-50 ซึ่งตัวเลขพวกนี้มันคือ ค่าความหนืด หรือ Viscosity ของน้ำมันเครื่อง

หรือที่ศัพท์เทคนิคเรียกว่า “ค่าความต้านทานการไหล” หรือความข้นเหนียวโดยธรรมชาติที่จะแปรผันตามอุณหภูมิ เช่น เมื่อได้รับความร้อนน้ำมันจะใส และ เมื่อได้รับความเย็นน้ำมันจะข้น

โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มคือ น้ำมันเครื่องที่ใช้ในฤดูหนาวและน้ำมันเครื่องที่ใช้ในฤดูร้อน โดยที่เบอร์ความหนืดของน้ำมันเครื่องในกลุ่มฤดูหนาว จะมีตัว W ซึ่งย่อมาจาก Winter ต่อท้าย ซึ่งวัดค่าความหนืดที่อุณหภูมิ -30 C ถึง – 5 C ส่วนประเภทนำ้มันเครื่องกลุ่มฤดูร้อนจะวัดค่าความหนืดที่ 100 C ได้แก่ SAE 20,30,40,50 และ 60 เบอร์ที่น้อยจะใสและเบอร์ที่มากกว่าข้นกว่า

จากนั้นมาดูว่า อันไหนเป็น น้ำมันเครื่องสำหรับดีเซลหรือเบนซิน โดยสังเกตจาก มาตรฐาน API ซึ่งถ้าเป็นน้ำมันเครื่องสำหรับเครื่องยนต์เบนซินจะมีตัวอักษร S หรือ (Service Stations Classifications) เช่น API-SG , API-SM และ API-SN เป็นต้น แต่ถ้าเป็นน้ำมันเครื่องสำหรับเครื่องยนต์ดีเซล จะใช้อักษร C หรือ (COMMERCIAL SERVICE-COMPRESSION IGNITION) เช่น CD , CE หรือ CF4

ส่วนน้ำเครื่องที่ใช้ได้กับเครื่องยนต์ทั้ง 2 ประเภท นั้นจะมีตัวอักษรกำกับอยู่ 2 ส่วน เช่น API SN/CF หมายถึงน้ำมันเครื่องสำหรับเครื่องยนต์เบนซินมาตรฐาน SH และสามารถใช้กับเครื่องยนต์ดีเซลได้ด้วยเพราะผ่านมาตรฐาน CF แต่เหมาะสำหรับเครื่องยนต์เบนซินมากกว่าสังเกตุไม่ยากคือค่าอะไรขึ้นก่อนแสดงว่าเหมาะกับเครื่องยนต์ประเภทนั้น

เลือกน้ำมันเครื่องอย่างไร รถเก่าควรใช้น้ำมันเครื่องเบอร์อะไร

ทีนี้มาถึง วิธีเลือกน้ำมันเครื่อง ที่ในบ้านเรานั้นมีเบอร์น้ำมันเครื่องที่เหมาะสมอยู่หลายเบอร์ด้วยกัน แต่ที่นิยมใช้กันมากได้แก่เบอร์ SAE 15W/40 และ 20W/50 ซึ่งถ้าจะเลือกใช้เบอร์ที่ต่างไปจากนี้ก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ขอให้เลือกเบอร์ความหนืดในช่วงฤดูร้อน หรือเลขตัวหลังที่เป็นเบอร์ 30 ขึ้นไป เพื่อให้ทนกับสภาพอากาศร้อนๆ ในบ้านเรา

แต่โดยหลักๆ แล้วคุณควรเลือกน้ำมันเครื่องที่มีความหนืดที่เหมาะสมกับสภาพของเครื่องยนต์ และสภาพการใช้งานของคุณ เช่น หากรถของท่านเป็นรถใหม่ ก็ควรเลือกใช้น้ำมันเครื่องที่มีเบอร์ความหนืดใส จะช่วยในการประหยัดเชื้อเพลิงมากขึ้น เช่น SAE 10W-30 เป็นต้น แต่หากรถของท่านเป็นรถเก่า มีอาการกินน้ำมันเครื่อง ถ้าจะเลือกใช้ น้ำมันเครื่องสำหรับรถเก่า ก็ควรเลือกใช้น้ำมันเครื่องที่มีเบอร์ความหนืดที่ข้นมากขึ้น เพื่อช่วยลดปัญหาการกินน้ำมันเครื่อง เช่น SAE 20W-50 เป็นต้น

หรือจะให้ชัวร์ ก็ควรที่จะเลือกใช้น้ำมันเครื่องตามมาตรฐานที่คู่มือกำหนด หรือไม่ก็เลือกเกรดสูงกว่า เพราะการใช้น้ำมันเครื่องที่เหมาะสมจะช่วยยืดอายุการใช้งานของเครื่องยนต์ได้อีกนานแสนนาน

อ้อเมื่อเลือกกันถูกแล้วก็อย่าลืมเปลี่ยนถ่ายตามกำหนดด้วยนะ ส่วนรายละเอียดเกี่ยวกับระยะการเปลี่ยนนั้นเราจะนำมาฝากแน่นอนในครั้งต่อๆ ไป

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : autospinn

น้ำมันเครื่อง แต่ละชนิดต่างกันอย่างไร มีประเภทไหนบ้าง รถเก่าควรใช้น้ำมันเครื่องเบอร์อะไร Read More »

การขับขี่ปลอดภัยเชิงป้องกันอุบัติเหตุ

ตรวจสภาพคนขับ

หากคุณต้องเป็นผู้ขับรถแล้ว ยิ่งต้องขับทางไกลด้วย ต้องเตรียมร่างกายให้พร้อมพักผ่อนให้เพียงพอ ไม่ควรพึ่งกาแฟหรือเครื่องดื่มชูกำลัง และไม่ควรดื่มแอลกอฮอล์เด็ดขาด

อย่าเปิดกระจก-อย่าปลดล็อกประตู

อย่าเปิดกระจก เพื่อป้องกันฝุ่นควันต่างๆ เข้ามาภายในรถ และอย่าปลดล็อกประตูเด็ดขาด เพื่อป้องกันตนเอง ข้าวของ และคนในรถจากมิจฉาชีพ

ตรวจเช็คเส้นทาง

การสำรวจเส้นทางให้ดี ก่อนลุยจริงเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะจะทำให้คนขับสามารถนำทางได้อย่างมั่นใจ ส่วนคนนั่งก็จะไม่ต้องพะว่าพะวง กลัวจะหลง

ใช้ความเร็วให้เหมาะสม

เรื่องการใช้ความเร็วนั้น ต้องใช้ความเร็วตามกฎหมายกำหนด เพราะถ้าเร็วเกินไป นอกจากจะโดนตำรวจจับแล้ว ก็อาจเป็นสาเหตุของอุบัติเหตุได้อีกด้วย

ประเมินความพฤติกรรมผู้ร่วมถนน

ประเมินผู้ร่วมถนน ว่ามีนิสัยการขับรถอย่างไร เช่น ไม่ให้สัญญาณไฟเลี้ยว ฯลฯ พฤติกรรมเหล่านี้ จะทำให้เราระวังตัว และหาทางหลีกเลี่ยงได้

สรุปเทคนิคการขับรถปลอดภัยเชิงป้องกันอุบัติเหตุ  5 ข้อ

1. การมองไกล

มองไกลไปข้างหน้า 15 วินาที

2. การมองภาพโดยรอบ

มองกระจกทุกๆ 5-8 วินาที

ทิ้งระยะห่างรถกันหน้าอย่างน้อย 4-6 วินาที

3. การเคลื่อนไหวสายตา

เคลื่อนไหวสายตาทุกๆ 2 วินาที

4. การหาทางออกให้ตัวเอง

รักษาระยะห่างรอบตัว

5. การสื่อสารแน่ใจว่าผู้อื่นเห็นเรา

ใช้สัญญาณเตือนต่างๆ ขอขอบคุณข้อมูลจาก : เซฟตี้อินไทย

การขับขี่ปลอดภัยเชิงป้องกันอุบัติเหตุ Read More »