การขนส่งสินค้าทางบกเป็นหัวใจสำคัญของห่วงโซ่อุปทาน แต่ในแต่ละปีกลับเกิดอุบัติเหตุจำนวนไม่น้อยที่ไม่ได้มีสาเหตุมาจากความเร็วหรือการขับขี่ที่ประมาท แต่มาจากการละเลยในขั้นตอนสำคัญ นั่นคือ การบรรทุกและรัดตรึงสินค้า (Cargo Securing) การปฏิบัติที่ไม่ถูกต้องในเรื่องนี้ไม่เพียงแต่ทำให้สินค้าเสียหาย แต่ยังสร้างความเสี่ยงอย่างร้ายแรงต่อผู้ใช้รถใช้ถนนคนอื่น บทความนี้จะนำเสนอกรณีศึกษาที่เกิดขึ้นจริงเพื่อเป็นอุทาหรณ์ และสรุปแนวทางปฏิบัติที่ถูกต้องเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอย
กรณีศึกษา: "ถุงปูนซีเมนต์หล่น"
ในช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา รถบรรทุกปูนซีเมนต์คันหนึ่งได้เกิดอุบัติเหตุขึ้นบนถนนสายหลัก โดยมีถุงปูนซีเมนต์จำนวนหลายถุงร่วงหล่นลงมาจากกระบะรถ เหตุการณ์นี้ส่งผลให้รถยนต์ที่ขับตามมาไม่สามารถหยุดรถได้ทัน ทำให้เกิดการชนท้ายอย่างรุนแรง และรถจักรยานยนต์อีกหลายคันที่ขับตามมาต้องหักหลบจนเสียหลักล้มลง
จากการสืบสวนพบว่า สาเหตุหลักของอุบัติเหตุในครั้งนี้เกิดจากการที่พนักงานขับรถ ไม่ได้รัดตรึงสินค้าอย่างถูกต้อง โดยใช้เพียงผ้าคลุมรถธรรมดาที่ไม่มีความแข็งแรงพอที่จะยึดสินค้าที่มีน้ำหนักมากได้ เมื่อรถบรรทุกขับผ่านถนนที่ขรุขระ ทำให้สินค้าเกิดการเคลื่อนที่และร่วงหล่นลงมาบนพื้นถนน
ผลกระทบจากเหตุการณ์นี้:
-
ความเสียหายด้านชีวิตและทรัพย์สิน: มีผู้ได้รับบาดเจ็บหลายราย และรถยนต์รวมถึงรถจักรยานยนต์ได้รับความเสียหายอย่างหนัก
-
ความรับผิดชอบทางกฎหมาย: พนักงานขับรถถูกตั้งข้อหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บและทรัพย์สินเสียหาย ส่วนบริษัทขนส่งต้องรับผิดชอบในฐานะผู้ประกอบการ
-
ความเสียหายต่อชื่อเสียง: เหตุการณ์นี้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือของบริษัท ซึ่งอาจนำไปสู่การสูญเสียลูกค้าในระยะยาว
แนวทางปฏิบัติที่ถูกต้อง: องค์ประกอบสำคัญ 3 ด้าน
เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นเดียวกับในกรณีศึกษา ผู้ประกอบการและพนักงานขับรถควรปฏิบัติตามหลักการสำคัญดังนี้:
1. การวางแผนและการจัดเรียงสินค้า
-
กระจายน้ำหนักอย่างสมดุล: น้ำหนักของสินค้าต้องถูกกระจายอย่างสม่ำเสมอทั้งซ้าย-ขวา และหน้า-หลัง เพื่อไม่ให้รถเสียการทรงตัว
-
วางสินค้าที่หนักที่สุดไว้ด้านล่าง: สินค้าที่มีน้ำหนักมากควรวางไว้ที่พื้นรถและใกล้กับจุดศูนย์ถ่วงของรถมากที่สุด เพื่อเพิ่มความมั่นคงในการขับขี่
-
เติมเต็มพื้นที่ว่าง: จัดเรียงสินค้าให้เต็มพื้นที่ว่างในกระบะหรือตู้รถให้มากที่สุด เพื่อลดโอกาสที่สินค้าจะเคลื่อนที่ระหว่างการเดินทาง
2. การเลือกใช้อุปกรณ์รัดตรึงที่เหมาะสม
-
เลือกประเภทอุปกรณ์: ควรเลือกใช้สายรัด (Lashing Straps) ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมกับน้ำหนักและประเภทของสินค้า
-
ตรวจสอบสภาพอุปกรณ์: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าอุปกรณ์ต่างๆ เช่น ตะขอ, ตัวล็อก, หรือโซ่ อยู่ในสภาพสมบูรณ์และพร้อมใช้งานอยู่เสมอ ห้ามใช้อุปกรณ์ที่ชำรุดหรือมีรอยแตกร้าวเด็ดขาด
3. ขั้นตอนการปฏิบัติงานที่ถูกต้อง
-
รัดตรึงสินค้าแต่ละชิ้น: ควรใช้สายรัดเพื่อยึดสินค้าแต่ละชิ้นเข้ากับตัวรถโดยตรง ไม่ใช่แค่การรัดสินค้าเข้าด้วยกันเป็นกลุ่มก้อน
-
ตรวจสอบความตึงของสายรัด: หลังจากการรัดตรึงเสร็จสิ้น ควรตรวจสอบความตึงของสายรัดอีกครั้งหลังขับรถไปได้ระยะหนึ่ง เนื่องจากสินค้าอาจมีการเคลื่อนที่เล็กน้อย ทำให้สายรัดหย่อนได้
-
การใช้ตาข่ายหรือผ้าใบ: ในกรณีสินค้าที่ไม่มีรูปแบบแน่นอน ควรใช้ตาข่ายหรือผ้าใบที่มีความแข็งแรงควบคู่ไปกับการรัดตรึง เพื่อป้องกันไม่ให้สินค้าชิ้นเล็กๆ หล่นออกนอกรถ
สรุป
กรณีศึกษาการละเลยการรัดตรึงสินค้าเป็นบทเรียนสำคัญที่ย้ำเตือนให้เห็นว่า ความปลอดภัยในการขนส่งไม่ได้จำกัดอยู่แค่การขับขี่เท่านั้น แต่ยังรวมถึงความใส่ใจในทุกรายละเอียดของกระบวนการ การให้ความรู้และฝึกอบรมพนักงานในเรื่องการบรรทุกและรัดตรึงสินค้าอย่างถูกต้องจึงเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุด เพื่อลดความเสี่ยง, ลดต้นทุน, และสร้างความเชื่อมั่นให้กับธุรกิจในระยะยาว
สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม Line: @961zauzv
โทร: 094-395-5222
Facebook: Training Zenter