HR ยุคใหม่ต้องรู้! ก้าวให้ทันกฎหมายแรงงานและสร้างมาตรฐานความปลอดภัยในการขับขี่สำหรับพนักงาน

HR ยุคใหม่ต้องรู้! ก้าวให้ทันกฎหมายแรงงานและสร้างมาตรฐานความปลอดภัยในการขับขี่สำหรับพนักงาน

ในยุคที่การเปลี่ยนแปลงทางกฎหมายและข้อบังคับต่าง ๆ เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ฝ่ายทรัพยากรบุคคล (HR) ไม่ได้มีบทบาทแค่การสรรหาและดูแลพนักงานอีกต่อไป แต่ต้องเป็น “Strategic Partner” ที่เข้าใจและก้าวให้ทันกับกฎหมายแรงงาน เพื่อปกป้องทั้งองค์กรและพนักงานจากความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น หนึ่งในประเด็นสำคัญที่ HR ยุคใหม่ต้องให้ความสนใจคือ การสร้างมาตรฐานความปลอดภัยในการขับขี่ ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องของสวัสดิการ แต่เป็นเรื่องของ ข้อกำหนดทางกฎหมาย และ ความรับผิดชอบของนายจ้าง ที่อาจส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อองค์กร

ความรับผิดชอบของนายจ้างตามกฎหมายแรงงานและกฎหมายความปลอดภัย

หลายคนอาจมองว่าอุบัติเหตุบนท้องถนนเป็นเรื่องส่วนบุคคลที่พนักงานต้องรับผิดชอบเอง แต่ในความเป็นจริงแล้วกฎหมายแรงงานในหลายประเทศรวมถึงประเทศไทยมีการระบุไว้อย่างชัดเจนว่านายจ้างมีหน้าที่ในการดูแลความปลอดภัยของลูกจ้างในขณะปฏิบัติงาน รวมถึงการเดินทางที่เกี่ยวข้องกับการทำงานด้วย

 

หากเกิดอุบัติเหตุขึ้นในระหว่างที่พนักงานกำลังเดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ หรือใช้รถของบริษัทในการทำงาน นายจ้างอาจต้องเผชิญกับความรับผิดชอบทางกฎหมายและค่าใช้จ่ายมหาศาล ทั้งในส่วนของค่ารักษาพยาบาล ค่าชดเชย หรือแม้กระทั่งการฟ้องร้องทางอาญาหากพบว่าบริษัทละเลยในการจัดหาสภาพแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัย

 

การจัดให้มี หลักสูตรขับขี่ปลอดภัย จึงไม่ใช่แค่การแสดงความห่วงใย แต่เป็นการปฏิบัติตามข้อกำหนดทางกฎหมาย และเป็น มาตรการเชิงรุก ที่ช่วยลดความเสี่ยงที่องค์กรต้องเผชิญกับความเสียหายทางกฎหมายในภายหลัง

สร้างมาตรฐานความปลอดภัย: กลยุทธ์ที่สำคัญของ HR ยุคใหม่

การก้าวให้ทันกฎหมายไม่ได้หมายถึงแค่การปฏิบัติตามสิ่งที่ถูกบังคับ แต่คือการสร้างมาตรฐานที่สูงกว่ากฎหมายเพื่อสร้างองค์กรที่แข็งแกร่งและปลอดภัยอย่างแท้จริง HR สามารถมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนเรื่องนี้ได้ด้วยการ:

  1. จัดทำนโยบายความปลอดภัยในการขับขี่ที่ชัดเจน: กำหนดกฎเกณฑ์และแนวปฏิบัติที่ชัดเจนสำหรับการใช้รถของบริษัท หรือการขับขี่ในขณะปฏิบัติหน้าที่ เช่น การห้ามใช้โทรศัพท์ขณะขับรถ การตรวจสอบสภาพรถก่อนใช้งาน และการจำกัดความเร็ว

  2. กำหนดให้หลักสูตรขับขี่ปลอดภัยเป็นข้อบังคับ: องค์กรควรพิจารณาให้การเข้ารับการอบรมขับขี่ปลอดภัยเป็นเงื่อนไขสำหรับพนักงานที่ต้องขับรถในงาน หรือเป็นสวัสดิการสำหรับพนักงานทุกคน เพื่อสร้างความมั่นใจว่าพนักงานมีความรู้และทักษะที่จำเป็นในการรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ บนท้องถนน

  3. ติดตามและประเมินผลอย่างสม่ำเสมอ: HR ควรมีระบบในการติดตามสถิติการเกิดอุบัติเหตุหรือพฤติกรรมความเสี่ยงในการขับขี่ของพนักงาน เพื่อนำข้อมูลมาวิเคราะห์และปรับปรุงนโยบายให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

ประโยชน์ที่องค์กรได้รับจากการสร้างมาตรฐานที่สูงกว่า

การลงทุนในเรื่องความปลอดภัยในการขับขี่ให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่ากว่าที่คิด ไม่ใช่แค่การลดความเสี่ยงทางกฎหมาย แต่ยังช่วยให้องค์กรเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว:

  • สร้างภาพลักษณ์ที่ดีและน่าเชื่อถือ: องค์กรที่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของพนักงานและสังคม จะได้รับความเชื่อถือจากทั้งพนักงาน คู่ค้า และลูกค้า ซึ่งเป็นภาพลักษณ์ที่มีคุณค่าอย่างยิ่งในโลกธุรกิจ

  • เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน: บริษัทที่มีนโยบายความปลอดภัยที่แข็งแกร่งจะสามารถดึงดูดและรักษาบุคลากรที่มีความสามารถสูงไว้ได้ เนื่องจากพนักงานจะมองหาองค์กรที่ใส่ใจในสวัสดิภาพและความปลอดภัยของพวกเขา

  • ลดต้นทุนที่ไม่จำเป็นในระยะยาว: การลงทุนในหลักสูตรความปลอดภัยในวันนี้ จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ที่อาจเกิดขึ้นจากอุบัติเหตุ ทั้งค่าซ่อมแซม ค่าประกัน และค่าเสียเวลาในอนาคต

การก้าวให้ทันกฎหมายและสร้างมาตรฐานความปลอดภัยในการขับขี่จึงเป็นภารกิจสำคัญของ HR ยุคใหม่ที่ไม่สามารถละเลยได้ เพราะนี่คือการลงทุนเพื่อปกป้องทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดขององค์กร นั่นคือ ชีวิตของพนักงาน และสร้างองค์กรที่เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนบนพื้นฐานของความรับผิดชอบต่อทุกคนในสังคม

สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม 📞
📱 Line: @961zauzv
☎️ โทร: 094-395-5222
📌 Facebook: Training Zenter

เพิ่มเพื่อน

บทความล่าสุด

ข่าวล่าสุด