เหตุการณ์น่าสลดจากการที่รถพยาบาลถูกจอดขวางทาง ณ จุดรับ-ส่งผู้ป่วยฉุกเฉิน เน้นย้ำว่าความผิดพลาดไม่ได้เกิดจากจิตสำนึกของคนเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจาก ปัญหาเชิงโครงสร้างและการจัดการพื้นที่ ของโรงพยาบาลด้วย บทบาทของ TSM (Transport Safety Manager) แม้จะอยู่ในหน่วยงานขนส่งเป็นหลัก แต่ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัย ย่อมมีส่วนร่วมในการให้คำปรึกษาและออกแบบ พื้นที่ปลอดภัยสำหรับการขนส่งฉุกเฉิน (Emergency Bay) ร่วมกับฝ่ายบริหารอาคารและห้องฉุกเฉิน เพื่อให้ “ทุกวินาทีคือชีวิต” เป็นจริงได้
1. การกำหนดและแยกโซนปฏิบัติการฉุกเฉิน (Emergency Zoning)
การป้องกันการกีดขวางเริ่มต้นจากการออกแบบพื้นที่ให้ชัดเจน และมีการแยกประเภทการใช้งานอย่างเด็ดขาด:
เขตปลอดการจอดรถส่วนบุคคล (No-Parking Zone): กำหนดพื้นที่สำหรับรถพยาบาล/รถฉุกเฉินโดยเฉพาะ โดยต้องมีขนาดที่ใหญ่พอสำหรับการนำเปลเข้า-ออก ในมุมที่ถูกต้อง และต้องตีเส้นหรือทาสีพื้นเป็นสีแดง/เหลือง พร้อมป้ายเตือนขนาดใหญ่ที่ มองเห็นได้จากระยะไกล และระบุโทษของการฝ่าฝืนอย่างชัดเจน
การออกแบบทางเข้า-ออก One-Way: หากเป็นไปได้ ควรออกแบบให้ทางเข้าและทางออกของโซนฉุกเฉินเป็นทางเดียว (One-Way Flow) หรือมีทางวน (Loop) เพื่อให้รถพยาบาลสามารถเข้าจอดและออกเดินทางได้โดยไม่ต้องถอยรถ ซึ่งจะช่วยลดโอกาสเกิดการชะงักงัน
Buffer Zone (พื้นที่กันชน): กำหนดพื้นที่สั้น ๆ หน้าห้องฉุกเฉินเป็นพื้นที่จอดชั่วคราว เพื่อลงผู้ป่วยเท่านั้น โดยต้องมีเจ้าหน้าที่เฝ้าระวัง เพื่อป้องกันไม่ให้รถส่วนบุคคลจอดทิ้งไว้
2. มาตรการกำกับดูแลพื้นที่ด้วยเทคโนโลยีและบุคลากร (Oversight and Enforcement)
การติดตั้งป้ายเตือนอย่างเดียวไม่เพียงพอ TSM หรือผู้ดูแลระบบความปลอดภัยต้องผลักดันให้มีการกำกับดูแลตลอด 24 ชั่วโมง:
ระบบกล้องวงจรปิดพร้อม AI (Smart Monitoring): ติดตั้งกล้องวงจรปิดคุณภาพสูงที่ครอบคลุมพื้นที่ฉุกเฉินทั้งหมด และใช้เทคโนโลยี AI หรือการแจ้งเตือนอัตโนมัติ (Automated Alert) เมื่อมีการจอดรถในพื้นที่ห้ามจอดนานเกินกว่า 1-2 นาที เพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถเข้าดำเนินการได้ทันที
บุคลากรจัดการพื้นที่ (Dedicated Traffic/Security Staff): กำหนดให้มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ที่ได้รับการฝึกอบรม (รวมถึงการอบรมด้านมนุษยสัมพันธ์) ประจำพื้นที่ตลอดเวลา โดยมีอำนาจในการ สั่งการและดำเนินการลากรถ (ถ้ามีนโยบาย) ในกรณีที่การจอดรถขัดขวางการปฏิบัติงานฉุกเฉินอย่างร้ายแรง
ระบบประกาศและสื่อสารฉุกเฉิน: เตรียมระบบประกาศเสียงตามสายที่สามารถแจ้งเตือนไปยังเจ้าของรถที่กีดขวางได้อย่างรวดเร็ว
3. การฝึกอบรมและการสร้างความตระหนักร่วม (Training and Public Awareness)
ความรู้คือเครื่องมือสำคัญในการเปลี่ยนพฤติกรรม TSM ควรริเริ่มโครงการความตระหนัก:
การฝึกอบรมบุคลากร (Staff Training): อบรมบุคลากรทุกคนที่เกี่ยวข้อง (พนักงานขับรถพยาบาล, รปภ., เจ้าหน้าที่ห้องฉุกเฉิน) ตามหลักสูตร EVOC/Scene Management ให้เข้าใจถึงผลกระทบของการจอดกีดขวาง และขั้นตอนปฏิบัติในการรับมือกับรถที่จอดขวางอย่างเด็ดขาดและปลอดภัยที่สุด
แคมเปญให้ความรู้สาธารณะ: ร่วมมือกับฝ่ายประชาสัมพันธ์ของโรงพยาบาลจัดทำแคมเปญให้ความรู้แก่ผู้ใช้บริการเกี่ยวกับ กฎหมายการจราจรในเขตโรงพยาบาล และ ผลกระทบต่อชีวิต ของการจอดรถผิดที่ โดยอาจใช้ภาพประกอบที่ชัดเจนเพื่อสื่อสารถึงความสำคัญของวินาทีชีวิต
แผนสำรอง (Contingency Plan): กำหนดและฝึกซ้อมแผนฉุกเฉินร่วมกัน (เช่น แผนการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยไปยังทางเข้าสำรอง หรือการใช้บุคลากรช่วยยกเปลผ่านจุดที่ถูกขวางในกรณีที่จำเป็นจริง ๆ)
การออกแบบพื้นที่รับ-ส่งผู้ป่วยฉุกเฉินให้ ปลอดการกีดขวาง คือภารกิจร่วมกันที่ต้องใช้ทั้งการวางแผนทางวิศวกรรม, การบังคับใช้ที่เด็ดขาด, และจิตสำนึกร่วมกันของทุกฝ่าย เพื่อให้ระบบการแพทย์ฉุกเฉินของประเทศมีประสิทธิภาพสูงสุดตามมาตรฐานความปลอดภัย
สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม Line: @961zauzv
โทร: 094-395-5222
Facebook: Training Zenter







