Uncategorized

“TSM” สำคัญยังไง? หาอย่างไร? ทำไมต้องมี?

เรียน ผู้ประกอบการขนส่งทุกท่าน

ในโลกของการขนส่งทางถนน ความปลอดภัยถือเป็นหัวใจหลักในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน กรมการขนส่งทางบกได้กำหนดให้ผู้ประกอบการขนส่งต้องมี บุคลากรจัดการด้านความปลอดภัยในการขนส่ง (Transport Safety Manager : TSM) เพื่อยกระดับมาตรฐานความปลอดภัย และลดความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นจากการขนส่ง  

TSM สำคัญไฉน? ทำไมผู้ประกอบการขนส่งต้องมี?

TSM มีหน้าที่หลัก 5 ด้าน ได้แก่

  1. การจัดการรถ
  2. การจัดการผู้ขับรถ
  3. การจัดการการเดินรถ
  4. การจัดการการบรรทุกและการโดยสาร
  5. การบริหารจัดการการวิเคราะห์และประเมินผล  

หน้าที่เหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความปลอดภัยในการขนส่ง หากผู้ประกอบการขนส่งไม่มี TSM ที่มีคุณสมบัติตามที่กฎหมายกำหนด จะส่งผลกระทบดังนี้

  • เสี่ยงต่อการถูกดำเนินคดี: ผู้ประกอบการขนส่งที่ฝ่าฝืน ไม่จัดให้มี TSM ตามที่กำหนด จะมีโทษปรับไม่เกิน 50,000 บาท  
  • เกิดความไม่ปลอดภัยในการขนส่ง: การขาด TSM อาจนำไปสู่การจัดการความปลอดภัยที่ไม่มีประสิทธิภาพ เพิ่มความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุและความเสียหาย

กำหนดการบังคับใช้ TSM

กรมการขนส่งทางบกได้ออกประกาศ เรื่อง กำหนดคุณสมบัติ หลักสูตร ระยะเวลาการฝึกอบรม และหน้าที่ของบุคลากรจัดการด้านความปลอดภัยในการขนส่ง (Transport Safety Manager : TSM) พ.ศ. 2564 ซึ่งมีผลบังคับใช้แล้ว  

โดยมีการบังคับใช้กับผู้ประกอบการขนส่งเป็นกลุ่ม ดังนี้

  • กลุ่มแรก (บังคับใช้แล้ว):
    • ผู้ประกอบการขนส่งประจำทางด้วยรถโดยสาร หมวด 1 กทม. และจังหวัดที่มีเส้นทางต่อเนื่อง และหมวด 2 รายเดิมทุกราย
    • ผู้ประกอบการขนส่งไม่ประจำทางด้วยรถโดยสารรายเดิมที่มีรถตั้งแต่ 51 คันขึ้นไป
    • ผู้ประกอบการขนส่งไม่ประจำทางด้วยรถบรรทุกรายเดิมทุกรายที่มีรถขนส่งวัตถุอันตราย
    • ผู้ประกอบการขนส่งไม่ประจำทางด้วยรถบรรทุกรายเดิมที่มีรถตั้งแต่ 101 คันขึ้นไป
    • ผู้ประกอบการขนส่งส่วนบุคคลด้วยรถบรรทุกรายเดิมที่มีรถขนส่งวัตถุอันตราย ตั้งแต่ 6 คันขึ้นไป
    • ผู้ประกอบการขนส่งส่วนบุคคลรายเดิมทุกรายที่มีรถตั้งแต่ 101 คันขึ้นไป
    • ผู้ขอรับ (รายใหม่) ใบอนุญาตประกอบการขนส่งด้วยรถโดยสารประจำทาง และไม่ประจำทาง (ผู้ขอเป็นนิติบุคคล) ทุกราย ผู้ขอรับ (รายใหม่) ใบอนุญาตประกอบการขนส่งด้วยรถบรรทุกไม่ประจำทางและส่วนบุคคลทุกรายที่มีรถตั้งแต่ 11 คันขึ้นไป  
  • กลุ่มอื่น ๆ จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มกราคม 2567 และวันที่ 1 มกราคม 2568 ตามลำดับ 

หา TSM ได้จากที่ไหน? ไอดี ไดรฟ์ พร้อมช่วยเหลือ

สำหรับผู้ประกอบการขนส่งที่กำลังมองหา TSM หรือต้องการ TSM มาร่วมงาน บริษัท ไอดี ไดรฟ์ จำกัด เป็นผู้เชี่ยวชาญในการพัฒนาบุคลากรด้านความปลอดภัยในการขนส่ง เราผลิต TSM ที่มีคุณภาพ มากกว่า 300 คน และมีบุคลากร TSM กว่า 150 ท่าน ที่ขึ้นทะเบียนให้บริษัท ไอดี ไดรฟ์ จำกัด เป็นที่ปรึกษาในการดูแลลูกค้า  

ไอดี ไดรฟ์ จำกัด ให้บริการ

  • จัดหา TSM ที่มีคุณสมบัติเหมาะสม
  • ให้คำปรึกษาและสนับสนุนการทำงานของ TSM
  • อัปเดตความรู้และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

ติดต่อ ไอดี ไดรฟ์ จำกัด

หากผู้ประกอบการขนส่ง ต้องการ TSM หรือมีข้อสงสัยเพิ่มเติม สามารถติดต่อได้ที่
ine : @iddrives (มี@ข้างหน้า)
โทรศัพท์ : 0934083377,080-3255665 (คุณไพโรจน์ พัฒนไพบูลย์สิน ผู้จัดการบริษัท ไอดี ไดรฟ์ จำกัด)
อีเมล : contact@iddrives.co.th

ไอดี ไดรฟ์ จำกัด มุ่งมั่นที่จะเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่งของผู้ประกอบการขนส่งในการสร้างระบบการขนส่งที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ

ขอบคุณข้อมูลจาก 

เพิ่มเพื่อน

 

ขอบคุณข้อมูลจาก https://atg.dlt.go.th/th/newsdltangthong/50326

“TSM” สำคัญยังไง? หาอย่างไร? ทำไมต้องมี? Read More »

ควรเช็คระดับน้ำมันเครื่อง ตอนไหน..ก่อน หรือหลังสตาร์ท

น้ำมันเครื่อง นับเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยหล่อลื่นและปกป้องเครื่องยนต์ให้ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ แน่นอนว่าเมื่อผ่านการใช้งานไปสักระยะ น้ำมันเครื่องย่อมมีการเสื่อมสภาพและมีปริมาณที่ลดลงไปจากการเผาไหม้ ดังนั้นผู้ใช้รถยนต์ทุกท่านควรหมั่นตรวจเช็คระดับน้ำมันเครื่องยนต์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้มั่นใจว่ามีปริมาณน้ำมันเพียงพอสำหรับหล่อลื่นให้กับเครื่องยนต์ทั้งระบบ สำหรับวิธีตรวจเช็คน้ำมันเครื่องนั้นไม่ยาก ผู้ใช้รถสามารถทำได้ง่ายๆ ด้วยตัวเอง เพียงดึงก้านวัดออกมาดู

อย่างไรก็ดีครับในเรื่องของการตรวจเช็คระดับน้ำมัน ก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันมาหลายยุคหลายสมัยว่า ควรทำช่วงเวลาไหน บ้างก็ว่าต้องจอดรถทิ้งไว้ข้ามคืนวันรุ่งขึ้นค่อยมาเช็คดีที่สุด เพราะน้ำมันเครื่องจะไหลกลับลงอ่างอย่างเต็มที่ และหายร้อน จึงมีความข้นและเหนียวมากขึ้น เมื่อดึงก้านวัดระดับน้ำมันเครื่องขึ้นมาน้ำมันจะติดที่ก้านวัดได้ดีและแม่นยำ บางอู่บางสำนักก็บอกว่าหลังจากดับเครื่องสัก 4-5 นาที เพื่อให้น้ำมันเครื่องไหลกลับลงสู่อ่างน้ำมันเครื่องด้านล่างก็ตรวจได้ทันที แล้วแบบนี้ผู้ใช้รถควรเชื่อแบบใด

ซึ่งในความเป็นจริง หากทำตามข้อแนะนำว่าจอดทิ้งไว้ข้ามคืน แล้วถ้าเอารถเข้าศูนย์ ลองคิดดูครับว่ากว่าช่างจะถ่ายน้ำมันเครื่องแต่ละทีคงทำงานได้ยากและใช้เวลานานมาก ดังนั้นการที่บอกว่าต้องรอข้ามคืนไม่น่าใช่เรื่องที่สมเหตุสมผลนัก เพราะช่างต้องรอวัด 6-8 ชม .แล้วจะส่งรถยังไง โดย ‘คู่มือรถ’ ส่วนใหญ่ก็ระบุขั้นตอนไว้ค่อนข้างชัดเจน ให้ติดเครื่องยนต์หรือทำงานจนร้อน จากนั้นดับเครื่องแล้วรอสักครู่ เพื่อให้น้ำมันไหลกลับอ่างน้ำมันเครื่อง นั่นคือ 1-5 นาที ถึงค่อยทำการวัดระดับ

สำหรับขั้นตอนการวัดระดับน้ำมันเครื่อง อันดับแรกต้องจอดรถให้อยู่ในแนวระนาบไม่ลาดเอียง เปิดฝากระโปรงรถยนต์ให้เรียบร้อย มองหาก้านวัดระดับน้ำมันเครื่องและดึงก้านวัดน้ำมันเครื่องออกมา จากนั้นเช็ดทำความสะอาดน้ำมันเครื่องที่ติดกับก้านวัดออกด้วยเศษผ้าหรือกระดาษทิชชู่ก็ได้ เสร็จแล้วเสียบก้านวัดระดับน้ำมันเครื่องคืนกลับจุดเดิมอีกครั้ง เพื่อตรวจเช็คระดับน้ำมันเครื่องที่มีอยู่ในอ่างน้ำมันเครื่อง ดึงก้านวัดระดับน้ำมันเครื่องออกมาอีกครั้งหนึ่ง เพื่อตรวจสอบระดับน้ำมันเครื่องที่บริเวณปลายของก้านวัด

ถ้าระดับน้ำมันเครื่องอยู่ระหว่างขีด F กับ L หรือ Max กับ Min แสดงว่าน้ำมันเครื่องอยู่ในระดับปกติ ไม่มากเกินไปและไม่น้อยเกินไป

*ปริมาณน้ำมันเครื่องที่น้อยเกินไปหรือมากเกินไป อาจทำให้เครื่องยนต์เสียหายได้ ที่สำคัญควรตรวจเช็คระดับน้ำมันเครื่องอยู่เป็นประจำ ทุกๆ 1-2 สัปดาห์/ครั้ง หรือ อย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง

ขอขอบคุณแหล่งข้อมูลจาก https://www.roojai.com/

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ:
Facebook : Training Zenter
Line : @iddrives (มี@ข้างหน้า)
โทรศัพท์ : 098-2610126
อีเมล : contact@iddrives.co.th

ควรเช็คระดับน้ำมันเครื่อง ตอนไหน..ก่อน หรือหลังสตาร์ท Read More »

กฎหมายความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน

“คู่มือสู่สภาพแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัย: รีวิวหนังสือรวมกฎหมายความปลอดภัย พ.ศ. 2554”

หนังสือรวมกฎหมายความปลอดภัย พ.ศ. 2554 นับเป็นทรัพยากรที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับทั้งนายจ้าง ลูกจ้าง และผู้ที่เกี่ยวข้องกับการทำงานในทุกภาคส่วน หนังสือเล่มนี้รวบรวมกฎหมายและข้อบังคับต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานไว้อย่างครบถ้วน ทำให้ผู้อ่านเข้าใจถึงสิทธิและหน้าที่ของตนเองได้อย่างชัดเจน

จุดเด่นของหนังสือเล่มนี้คือ การนำเสนอเนื้อหาที่เข้าใจง่าย มีตัวอย่างประกอบ และมีการอธิบายรายละเอียดของกฎหมายแต่ละฉบับอย่างชัดเจน นอกจากนี้ หนังสือยังครอบคลุมประเด็นสำคัญๆ เช่น การป้องกันอุบัติเหตุ การจัดการสารเคมีอันตราย และการส่งเสริมสุขภาพอนามัยของคนทำงาน ทำให้ผู้อ่านสามารถนำความรู้ไปปรับใช้ในการทำงานได้จริง

อย่างไรก็ตาม หนังสือเล่มนี้อาจมีบางส่วนที่เนื้อหาค่อนข้างเชิงเทคนิค เหมาะสำหรับผู้ที่มีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับกฎหมายอยู่บ้าง แต่สำหรับผู้ที่ต้องการศึกษาเบื้องต้นก็สามารถอ่านและทำความเข้าใจได้ไม่ยาก

สรุปแล้ว หนังสือรวมกฎหมายความปลอดภัย พ.ศ. 2554 เป็นหนังสือที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับทุกคนที่ต้องการสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ขอแนะนำให้ทั้งนายจ้างและลูกจ้างศึกษาหนังสือเล่มนี้ เพื่อให้เกิดความเข้าใจและปฏิบัติตามกฎหมายอย่างถูกต้อง

คะแนน: 5/5

ข้อเสนอแนะ: ควรมีการอัปเดตเนื้อหาให้ทันสมัยอยู่เสมอ เนื่องจากกฎหมายอาจมีการปรับเปลี่ยน

ขอขอบคุณหนังสือรวมกฎหมายความปลอดภัยในการทำงาน ภายใต้พระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. ๒๕๕๔

ได้รับการสนับสนุนจาก บริษัท พีที่ที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) บริษัท เอ็นพีซี เซฟตี้ แอนด์ เอ็นไวรอนเมนทอล เซอร์วิส จำกัด

NPC กลุ่มงานมาตรฐานความปลอดภัยในการทำงาน กองความปลอดภัยแรงงาน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน

เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติงานอย่างปลอดภัย ลดการเกิดอุบัติเหตุและโรคจากการทํางาน สามารถดูเนื้อหาสาระเพิ่มตามได้ตามหนังสือเล่มนี้เลยค่ะ
คลิ๊ก

กฎหมายความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน Read More »

เครื่องยนต์สั่นเกิดจากสาเหตุอะไร แก้ไขอย่างไรได้บ้าง ?

เครื่องยนต์สั่นเกิดจากสาเหตุอะไร แก้ไขอย่างไรได้บ้าง ?

หากวันนี้คุณเคยเจอกับเหตุการณ์ที่ว่าขับรถอยู่ดีๆ ก็รู้สึกเหมือนรถของคุณมีอาการสั่นผิดปกติ เดินเบาไม่เรียบ มีอาการกระตุก หรือที่เรียกกันว่าอาการ เครื่องยนต์สั่น ไม่ว่าจะตอนเร่งความเร็ว หรือตอนขับปกติ นั่นอาจเป็นสัญญาณเตือนว่าถึงเวลาที่ต้องตรวจสภาพรถกันแล้วแหละค่ะ

ซึ่งปัญหาเครื่องยนต์สั่นในขณะขับนี้อาจจะดูเหมือนไม่ร้ายแรงมาก แต่ก็ไม่ควรปล่อยไว้นะครับ ควรเช็คให้แน่ใจว่า เครื่องยนต์สั่นเกิดจากสาเหตุอะไร จะได้รีบทำการแก้ไขให้ตรงจุด รวมถึงจะได้ไม่สร้างความรำคาญใจในขณะขับขี่ให้ตัวคุณเองด้วยครับ เราไปดูกันว่ารถที่มีอาการ เครื่องยนต์สั่น เกิดจากสาเหตุอะไรได้บ้าง เดี๋ยว TZ (trainingzenter) พาทุกคนมาทำความรู้จักกันค่ะ


4 อาการเครื่องยนต์สั่น

1. เกิดอาการสั่นเมื่อคุณหยุดรถ

รถของคุณมีอาการสั่นทุกครั้งที่คุณหยุดรถ ในขณะที่รถเดินเบาคุณรู้สึกเหมือนรถมีแรงสั่นสะเทือน อาการดังกล่าวสามารถบ่งบอกถึงปัญหาของเครื่องยนต์ได้เช่นกัน สาเหตุหนึ่งของรถสั่นขณะเดินเบาหรือจอดรถไว้นิ่งๆ อาจมาจาก ตัวยึดเครื่องยนต์หลวม เพราะตัวยึดเครื่องยนต์คือตัวเชื่อมต่อระหว่างเครื่องยนต์และรถของคุณ

ตัวยึดเครื่องยนต์จะช่วยลดแรงสั่นสะเทือนที่เกิดจากเครื่องยนต์ของคุณไว้อย่างปลอดภัย เมื่อตัวยึดเครื่องเสื่อมสภาพ คุณอาจจะรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือน หรือชิ้นส่วนอื่นในเครื่องยนต์มีปัญหา เช่น หัวฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงชำรุด, หัวเทียนชำรุด, สายพานราวลิ้นไม่ดี ปัญหาเครื่องยนต์เหล่านี้เป็นสาเหตุที่ทำให้รถสั่น ควรนำรถไปพบช่างผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจสอบสภาพรถ อย่างละเอียดและแก้ไขปัญหาทันที

2. เกิดอาการสั่นเมื่อเร่งความเร็ว

รถสั่นเมื่อเร่งความเร็ว อาจเกิดจากตัวยึดเครื่องยนต์หลวมหรือชำรุด เมื่อฐานยึดเครื่องยนต์ที่ชำรุดและหลวม จะไม่สามารถดูดซับแรงสั่นสะเทือนที่เกิดจากเครื่องยนต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่อาการรถสั่น เมื่อเหยียบคันเร่ง ก็อาจเกิดจากระบบบังคับเลี้ยวและระบบกันสะเทือน

การตั้งศูนย์ถ่วงล้อที่ไม่ตรงแนว ก็อาจทำให้พวงมาลัยสั่นเมื่อคุณเร่งความเร็วได้ ปัญหาทั้งสองนี้จะมีอาการรถสั่นลักษณะคล้ายกัน แต่มีวิธีแก้ไขที่แตกต่างกันมาก ดังนั้นควรนำรถไปพบช่างผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจสอบสภาพรถ อย่างละเอียดและแก้ไขปัญหาอย่างตรงจุด

3. เกิดอาการสั่นเมื่อเหยียบเบรก

เมื่อเท้าเหยียบลงแป้นเบรกรถมีอาการสั่นทั้งคัน โดยเฉพาะเหยียบเบรกขณะรถวิ่งด้วยความเร็วสูง ปัญหาดังกล่าวหากไม่รีบไปตรวจสภาพรถและแก้ปัญหาอาจทำให้คุณเสี่ยงต่ออุบัติเหตุได้ รถสั่นเมื่อคุณเหยียบเบรก อาจบ่งบอกถึงปัญหาของจานเบรกที่บิดเบี้ยว ผ้าเบรกที่สึกหรอ หรือน้ำมันเบรกหล่อลื่นไม่เพียงพอ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นองค์ประกอบสำคัญของการเบรก ดังนั้นควรนำรถไปพบช่างผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจสอบสภาพรถและแก้ไขปัญหาทันที

4. เกิดอาการสั่นเมื่อขับด้วยความเร็วสูง

อาการรถสั่นเมื่อขับด้วยความเร็วสูงหรือพวงมาลัยสั่น แสดงว่ารถของคุณอาจมีการตั้งศูนย์ล้อผิดตำแหน่ง หรือยางรถยนต์ไม่มีความสมดุลไม่ถูกต้อง เพราะในขณะที่ล้อไม่ตรงตำแหน่ง ก็จะทำให้ส่วนประกอบของระบบกันสะเทือนทำมุมไม่ถูกต้อง ความไม่สมดุลของยางจะเกิดขึ้น เมื่อน้ำหนักรถของคุณไม่ได้กระจายอย่างเหมาะสมบนยางทั้งสี่เส้น หากปล่อยไว้สามารถทำให้ยางรถยนต์เสื่อมสภาพก่อนเวลาอันควร ทำให้เกิดสภาพการขับขี่ที่เป็นอันตรายอีกด้วย

เครื่องยนต์สั่น เกิดจากสาเหตุอะไร ?

1. ยางแท่นเครื่องเสื่อม

สาเหตุ

อีกหนึ่งสาเหตุยอดนิยมที่ทำให้เกิดอาการเครื่องสั่น ขณะอยู่ในช่วงรอบเดินเบา อาจเกิดจากยางแท่นเครื่องชำรุด เนื่องจากยางแท่นเครื่องมีหน้าที่ดูดซับแรงสั่นสะเทือนขณะที่เครื่องกำลังหมุน เมื่อใช้งานไปนาน ๆ จะเกิดอาการเสื่อมหรือฉีกขาด ทั้งนี้ หากแก้ปัญหาเฉพาะหน้าด้วยการเหยียบคันเร่งให้รอบเครื่องสูงขึ้น อาการสั่นจะหายไปก็จริง แต่อาจทำให้ลูกยางแท่นเครื่องขาดได้

วิธีดูแลและแก้ไข

ถ้ายางแท่นเครื่องชำรุด ควรให้ช่างเปลี่ยนยางแท่นเครื่องใหม่ ซึ่งโดยปกติแล้ว เมื่อมีอายุการใช้งานครบ 100,000 กิโลเมตร ควรเปลี่ยนใหม่ แต่ถ้ารถของคุณไม่ได้ใช้งานหนัก หรือเห็นว่ายางแท่นเครื่องยังมีสภาพดีอยู่ อาจจะใช้งานต่ออีกสักพักแล้วค่อยเปลี่ยนใหม่ก็ได้เช่นกัน ทั้งนี้ เพื่อยืดอายุการใช้งานให้นานขึ้น เมื่อเจอทางขรุขระ, ลูกระนาด, หลุม, หรือเศษหินเกลื่อนกลาดอยู่ตามพื้นถนน ควรลดความเร็วลง หรือใช้ความเร็วต่ำ

2. หัวเทียนเสื่อมสภาพ/ หัวเทียนสูบใดสูบหนึ่งไม่ทำงาน

สาเหตุ

หากรถของคุณมีอาการอาการสั่นจากเครื่องยนต์ เดินไม่เรียบ หรือสตาร์ตติดยาก เป็นไปได้ว่าอาจเกิดจากหัวเทียนชำรุด เพราะหัวเทียนมีหน้าที่จุดระเบิดและส่งกระแสไฟ เพื่อทำให้เกิดการระเบิดจนผลักให้ลูกสูบเคลื่อนที่ขึ้น-ลง จนสามารถขับเคลื่อนเครื่องยนต์ได้ หากเสื่อมสภาพหรือมักเรียกกันว่าหัวเทียนบอด มักจะเกิดอาการดังกล่าว เนื่องจากหัวเทียนจุดประกายไฟไม่สม่ำเสมอนั่นเอง

วิธีดูแลและแก้ไข

เมื่อรถของคุณมีอาการเช่นนี้ ให้ลองสังเกตหัวเทียนว่ามีสภาพเป็นอย่างไร หากสึกกร่อน หรือเต็มไปด้วยคราบเขม่า, คราบน้ำมัน ควรเปลี่ยนใหม่ทันที ซึ่งเราขอแนะนำว่าให้เปลี่ยนใหม่พร้อมกันทุกหัว เพื่อการทำงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น (แล้วแต่จำนวนกระบอกสูบหรือรูปแบบเครื่องยนต์ เช่น Twin Spark ก็จะใช้หัวเทียนมากหน่อย)

3. ลิ้นปีกผีเสื้อสกปรก

สาเหตุ

ลิ้นปีกผีเสื้อสกปรก เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้รอบเครื่องยนต์สวิง ไม่นิ่ง และสั่น เนื่องจากปีกผีเสื้อมีหน้าที่ควบคุมอากาศที่เข้ามาในห้องเผาไหม้ เมื่อใช้งานไปนาน ๆ จะมีคราบน้ำมัน, คราบเขม่า และฝุ่นละอองมาเกาะ ซึ่งนอกจากจะมีส่วนทำให้เครื่องยนต์ทำงานไม่ราบเรียบแล้วยังและกินน้ำมันขึ้นกว่าปกติด้วย

วิธีดูแลและแก้ไข

ควรถอดลิ้นปีกผีเสื้อออกมาล้างทำความสะอาด โดยอาจใช้บริการศูนย์บริการ หรือทำด้วยตัวเองก็ได้หากมีทักษะและเครื่องมือ เพราะไม่ต้องอาศัยความชำนาญเป็นพิเศษ อย่างไรก็ตาม เมื่อลิ้นปีกผีเสื้อมีอายุการใช้งานประมาณ 20,000-30,000 กิโลเมตร ควรนำมาทำความสะอาด เพื่อยืดอายุการใช้งานให้นานขึ้น

4. สายท่อ Vacuum รั่ว

สาเหตุ

อีกสาเหตุหนึ่งที่มีความเป็นไปได้ หากรถของคุณมีอาการสั่น, รอบเดินเบาไม่นิ่ง, จะดับไม่ดับแหล่ และต้องคอยเร่งเครื่องตลอดเวลานั้น อาจเกิดจากสายท่อ Vacuum รั่วในจุดใดจุดหนึ่ง เนื่องจากท่อ Vacuum มีหน้าที่ช่วยเร่งไฟจุดระเบิดในรอบเดินเบา ให้เครื่องยนต์ไม่สั่น

วิธีดูแลและแก้ไข

เบื้องต้น ให้ตัดปลายสายที่ปริแตกออกก่อน แล้วเสียบกลับคืนใหม่ แต่ถ้ายังพบปัญหาเดิม ควรเปลี่ยนสายท่อ Vacuum ใหม่ “ทุกเส้น” ในเครื่องยนต์ เพราะหากมีเส้นหนึ่งแตกแล้ว เส้นอื่น ๆ ต้องปริแตกตามอย่างแน่นอน

5. มอเตอร์ควบคุมรอบเดินเบาสกปรก

สาเหตุ

มอเตอร์ควบคุมรอบเดินเบา หรือไอเดิ้ล วาล์ว (Idle Speed Control) จะทำหน้าที่ควบคุมปริมาณการไหลของอากาศ ส่งผลต่อรอบเดินเบา โดยอุปกรณ์นี้นี้จะควบคุมรอบเดินเบาไม่ให้เครื่องรอบตกนั่นเอง และเมื่อเกิดสิ่งสกปรกอุดตัน ไอเดิ้ล วาล์ว จะเกิดอาการติดขัดระหว่างการทำงานได้

วิธีดูแลและแก้ไข

วิธีการแก้ไขนั้นไม่ยาก เมื่อสกปรกก็ต้องนำมาล้างและทำความสะอาดใหม่ แต่ถ้ายังพบปัญหาเดิม ๆ อยู่ ควรเปลี่ยนไอเดิ้ล วาล์ว ใหม่จะดีที่สุด เพื่อตัดปัญหาเครื่องยนต์สั่นนั่นเอง

อย่างไรก็ตาม เมื่อไหร่ที่รถของคุณเกิดอาการ เครื่องยนต์สั่น ผิดปกติ หากตรวจเช็คเบื้องต้นแล้วไม่แน่ใจ การแก้ไขปัญหาที่ปลอดภัยที่สุดควรนำรถเข้าศูนย์ตรวจเช็คโดยช่างผู้เชี่ยวชาญ เพื่อความแม่นยำและจะได้แก้ไขปัญหาให้ตรงจุด เป็นปกติของการใช้งานเครื่องยนต์ เมื่อเวลาผ่านไปภายในรถทุกชิ้นก็เสื่อมสภาพไปตามการใช้งาน ดังนั้น จึงต้องดูแลรักษาเครื่องยนต์อยู่เสมอเพื่อความปลอดภัยในการขับขี่บนท้องถนน และป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาจุกจิกกวนใจระหว่างขับขี่ด้วยค่ะ

ขอบคุณข้อมูลจาก : เยลโล่เซอร์วิส

เครื่องยนต์สั่นเกิดจากสาเหตุอะไร แก้ไขอย่างไรได้บ้าง ? Read More »

วิธีดูแลรักษาหม้อน้ำรถยนต์

เชื่อว่าหลายคนต้องเคยเจอกับเหตุการณ์ที่ว่าขับรถอยู่ดีๆ เครื่องยนต์ก็ดับไปซะเฉยๆ สตาร์ทเครื่องอีกครั้งก็ไม่ติดแล้ว รู้สาเหตุอีกทีก็มาจาก หม้อน้ำ นั่นเอง ซึ่งปัญหาเครื่องยนต์ส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้น เกิดจากปัญหาเรื่องระบบระบายความร้อนของ หม้อน้ำรถยนต์

ที่เจ้าของรถส่วนใหญ่ค่อนข้างละเลยส่วนนี้ และไม่ค่อยให้ความสำคัญเท่าไหร่นัก รวมถึงบางคนยังขาดความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องหม้อน้ำรถยนต์ว่ามีความสำคัญอย่างไรกับเครื่องยนต์ อีกทั้งการดูแลรักษาแบบผิดวิธี อย่างการเติมน้ำเปล่าแทนน้ำยาหล่อเย็น หรือการเลือกใช้น้ำยาหล่อเย็นที่ไร้คุณภาพ จนทำให้เกิดการอุดตัน วันนี้เราจะทุกคนมาทำความเข้าใจกับเรื่องหม้อน้ำรถยนต์ให้มากขึ้น วันนี้ TZ (trainingzenter) พร้อมแนะนำเทคนิคการดูแลหม้อน้ำรถยนต์อย่างถูกวิธี ที่คนรักรถไม่ควรพลาดค่ะ

หม้อน้ำ คืออะไร

หม้อน้ำ คือ อุปกรณ์แลกเปลี่ยนความร้อน จากน้ำที่ไหลมาจากโพรงผนังเสื้อสูบ โดยจะเข้ามาสู่หม้อน้ำทางด้านบน จากนั้นน้ำดังกล่าวไหลลงมาตามท่อน้ำในหม้อน้ำ ท่อน้ำเหล่านี้ จะเชื่อมติดกับครีบระบายความร้อน (รังผึ้ง) ซึ่งทำจากโลหะที่ถ่ายเท ความร้อนได้รวดเร็ว

เมื่อน้ำที่มีอุณหภูมิสูงเหล่านี้ เคลื่อนตัวจากด้านบน ลงสู่ด้านล่าง ก็จะถ่ายเทความร้อนออกไป ให้กับครีบระบายความร้อนดังกล่าว ขณะเดียวกัน พัดลมหม้อน้ำ (Fan) ก็จะทำการหมุน เพื่อดูดอากาศที่อยู่ด้านหน้าหม้อน้ำ ผ่านครีบระบายความร้อนหม้อน้ำ ออกมาทางด้านหลัง

เป็นการแลกเปลี่ยนความร้อนไปเป็นอากาศ เมื่อน้ำที่มีอุณหภูมิสูง ไหลลงสู่ด้านล่าง อุณหภูมิ ก็จะลดลงมาตามลำดับ บริเวณด้านล่างหม้อน้ำ จะมีท่อยางหม้อน้ำ ต่อไปสู่ทางเข้าผนังเสื้อสูบอีกที ทำให้น้ำที่มีอยู่ในระบบ ไหลเวียนไปมา ระหว่างโพรงผนังห้องเครื่อง กับหม้อน้ำได้อย่างต่อเนื่อง

หม้อน้ำ สำคัญอย่างไร

หน้าที่สำคัญของหม้อน้ำรถยนต์ คือ ช่วยระบายความร้อนส่วนเกินจากการเผาไหม้ของเครื่องยนต์ เพราะการเผาไหม้เชื้อเพลิงแต่ละครั้ง จะมีอุณหภูมิสูงมาก ความร้อนที่เกิดขึ้นจะต้องมีน้ำยาหล่อเย็นเป็นตัวนำพาความร้อนส่วนเกินนี้ มาลดอุณหภูมิลงที่บริเวณรังผึ้งหม้อน้ำ

โดยมีพัดลมหม้อน้ำเป็นตัวช่วยให้เย็นลง และวนกลับไปรับความร้อนในเครื่องยนต์อีกครั้ง ทั้งนี้น้ำยาหล่อเย็นจะหมุนวนโดยการสร้างแรงผลักโดยปั๊มน้ำ โดยมีวาล์วน้ำคอยปิด-เปิดควบคุมการไหลของน้ำเพื่อให้อุณหภูมิของเครื่องอยู่ในจุดที่เหมาะสมกับการทำงานนั่นเอง

ประเภทของหม้อน้ำรถยนต์

หม้อน้ำรถยนต์นั้นสามารถแบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ ๆ ตามวัสดุได้ 2 ประเภท คือ

1. หม้อน้ำอลูมิเนียม

เป็นหม้อน้ำชนิดนี้ใช้ทั่วไปในปัจจุบัน เพราะมีน้ำหนักเบา ต้นทุนต่ำ ราคาไม่แพง และทำหน้าที่ระบายความร้อนได้อย่างดี แบ่งได้อีกสองแบบคือ แบบที่ฝาเป็นพลาสติก และแบบที่เป็นอลูมิเนียมทั้งอัน ราคาจะแพง และหาซื้อได้ค่อนข้างยาก ส่วนใหญ่สั่งทำเอา ระบายความร้อนได้ดีและทนกว่าพลาสติก ข้อเสียคือ ไม่ทนเท่าทองแดงและ ถ้าชำรุดก็ต้องยกเปลี่ยนเลย

2. หม้อน้ำทองแดง

ในสมัยก่อนหม้อน้ำชนิดนี้เป็นที่นิยมเป็นอย่างมาก พบได้ในรถเก่า 20 ปีขึ้นไป โดยมีอยู่สองแบบด้วยกัน คือ

– ผลิตจากทองเหลืองผสมทองแดง ระบายความร้อนได้ดีมาก ถึงจะมีความร้อนสะสมอยู่บ้างเล็กน้อย

– ผลิตจากทองแดงล้วน ๆ หม้อน้ำชนิดนี้ระบายความร้อนได้ดีกว่า แต่ราคาค่อนข้างแพงและบางรุ่นอาจจะต้องสั่งทำ ส่วนข้อดีของมันคือ แข็งแรงทนทาน ซ่อมได้หากชำรุด

วิธีดูแลรักษาหม้อน้ำรถยนต์

1. ตรวจสอบระดับน้ำ

สังเกตระดับน้ำให้อยู่ในระดับที่ปกติ และให้สังเกตสีของน้ำยาหล่อเย็นว่าเปลี่ยนไปหรือไม่ หากเริ่มเป็นสีสนิมก็ควรเข้าศูนย์บริการ เพื่อถ่ายเปลี่ยนน้ำยาหล่อเย็น ควรใช้เป็นน้ำยาหล่อเย็น เพราะน้ำเปล่าทำให้หม้อน้ำเสียหาย ในระยะยาวอาจจะทำให้ขึ้นสนิม และให้สังเกตว่ามีคราบน้ำยาหล่อเย็นไหลอยู่ตามหม้อน้ำรถหรือเปล่า (ห้ามเปิดฝาหม้อน้ำในขณะที่เครื่องร้อน)

2. ไม่เติมน้ำเปล่าลงในหม้อน้ำ

เพราะการเติมน้ำเปล่าส่งผลเสียหายต่อหม้อน้ำ เพราะนอกจากจะเกิดสนิม กัดกร่อนทำให้หม้อน้ำผุรั่วแล้ว ยังเกิดการอุดตันของคราบตะกรันต่างๆ เช่นหินปูนบริเวณแผงระบายความร้อนในหม้อน้ำ เครื่องจะมีความร้อนขึ้นสูงจนเกิดปัญหาตามมา

3. สังเกตเกจ์ความร้อน

เกจ์วัดความร้อนผิดปกติหรือแจ้งเตือน เหยียบคันเร่งไม่ขึ้น มีเสียงแปลกๆ หากมีอาการดังกล่าว แนะนำให้หาข้างทางจอดให้ไว้ที่สุด เพื่อเครื่องยนต์จะได้ไม่เสียหายไปมากกว่านี้ หรือที่เรียกกันว่า การโอเวอร์ฮีท จอดรถสักพักให้เครื่องเย็น เปิดฝาหม้อน้ำดูว่าน้ำลดไปไหม หากไม่แน่ใจแนะนำให้ โทรหาประกันภัย เรียกรถยก ไปอู่ซ่อมใกล้ๆ ก่อน

หม้อน้ำรถยนต์ เติมยังไง เติมน้ำอะไร

ของเหลวหรือน้ำที่ควรเติมลงในหม้อน้ำรถยนต์ ควรเป็นน้ำยาหล่อเย็นเท่านั้น เพราะน้ำยาหล่อเย็นเป็นตัวช่วยระบายความร้อนให้เครื่องยนต์โดยตรง ทำให้ไม่มีความร้อนที่สูงเกินไป รวมทั้งยังมีส่วนผสมจากสารอื่นๆ ที่ช่วยยืดอายุของหม้อน้ำ ไม่ว่าจะเป็น สารป้องกันสนิม สารป้องกันตะกรัน ช่วยหล่อลื่นปั๊มน้ำ ช่วยป้องกันการอุดตันภายในระบบหล่อเย็น ป้องกันการถูกกัดกร่อน ที่จะเป็นสาเหตุทำให้หม้อน้ำรั่วและหม้อน้ำแห้ง

วิธีเติมน้ำยาหล่อเย็น สามารถใส่เติมลงไปในถังพักน้ำหม้อน้ำได้เลย หรืออาจจะผสมน้ำกลั่นลงไปด้วย เพราะน้ำกลั่นเป็นน้ำที่ไม่มีตะกอนหรือตะกรันที่จะไปจับตัวอยู่ตามเครื่องยนต์และหม้อน้ำ ซึ่งน้ำยาหล่อเย็นในตลาดจะมีการผสมสีลงไปด้วย มีสีแดงอมชมพูและสีเขียว ที่ต้องผสมสีเพื่อให้ช่วยตรวจสอบได้ง่ายขึ้นว่าหม้อน้ำมีจุดที่รั่วซึมตรงไหน เพราะถ้าเป็นน้ำใสๆ ไม่มีสี อาจจะมองไม่เห็นจุดที่รั่วนั่นเอง

เห็นหรือยังครับว่า ถึงแม้หม้อน้ำรถยนต์จะเป็นส่วนประกอบเล็กๆ แต่ก็มีความสำคัญอย่างมากสำหรับรถยนต์ เพราะทำหน้าที่เป็นตัวระบายความร้อน เป็นสิ่งที่ควรหมั่นตรวจสอบสม่ำเสมอ ไม่ควรละเลย เพราะหากเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาจะไม่คุ้มเสีย ที่สำคัญคือ ควรดูแลสภาพรถยนต์ด้วยตัวเองเป็นประจำ อย่างน้อยเดือนละ 2 ครั้ง เพื่อช่วยให้สังเกตได้ว่ามีจุดใดที่ผิดปกติบ้าง ผู้ใช้รถจะได้ทำการแก้ไขได้อย่างทันท่วงทีนั่นเอง

ขอขอบคุณข้อมมูล : เยลโล่เซอร์วิส

วิธีดูแลรักษาหม้อน้ำรถยนต์ Read More »

ทำไมต้องเปลี่ยนน้ำมันเครื่องพร้อมไส้กรอง

วันนี้ TZ(trainingzenter) หน้าที่ของไส้กรองน้ำมันเครื่อง ก็คือ “กรองน้ำมันเครื่อง” โดยอาศัยวิธีการให้น้ำมันเครื่องที่ผ่านการใช้งานแล้ว ซึมผ่านกระดาษกรองเข้าไปสู่แกนกลางของตัวกรอง จากนั้นจึงส่งน้ำมันไปยังชิ้นส่วนต่างๆ ภายในเครื่องยนต์ โดยจะดักจับสิ่งแปลกปลอมต่างๆ เช่น เขม่า, เศษโลหะเล็กๆ และฝุ่นผงต่างๆ ไว้ที่กระดาษกรองภายในตัวไส้กรองน้ำมันเครื่องจะมีอุปกรณ์ตัวหนึ่งชื่อ บายพาสวาล์ว (Bypass Valve) หรือ เซฟตี้วาล์ว (Safety Valve) ทำหน้าที่ระบายหรือปล่อยผ่านน้ำมันเครื่องให้เข้าไปหล่อลื่นชิ้นส่วนต่างๆ ภายในเครื่องยนต์ โดยไม่ต้องผ่านกระดาษกรองเมื่อกระดาษกรองเกิดการอุดตันจนมีแรงดันของน้ำมันเครื่องเกินกว่าแรงดันของบายพาสวาล์ว เพื่อป้องกันไม่ให้เครื่องยนต์เกิดความเสียหาย

ทำไมต้องเปลี่ยนน้ำมันเครื่องพร้อมไส้กรอง ?

น้ำมันเครื่อง เป็นสารหล่อลื่นที่จะช่วยยืดการใช้งานของเครื่องยนต์ น้ำมันเครื่องใหม่จะมีประสิทธิภาพในการลดการสึกหรอของเครื่องยนต์ดีกว่า ทำให้เราต้องเปลี่ยนน้ำมันหล่อลื่นเครื่องยนต์อย่างสม่ำเสมอ น้ำมันเครื่องเมื่อถูกใช้งานแล้วจะเสื่อมสภาพลงเรื่อยๆ ทำให้คุณสมบัติของน้ำมันเครื่องไม่เหมาะสมที่จะใช้งานต่อไปสามารถสังเกตได้จากน้ำมันเครื่องที่ถ่ายออกมาหลังจาก ใช้งานครบระยะ จะมีสีเข้มขึ้น มีความข้นเหนียวมากขึ้นและมีตะกอน คราบเขม่าต่างๆ ปนอยู่ด้วย ซึ่งต่างจากตอนที่ใส่เข้าไปใหม่จะค่อนข้างเหลวและใส

ไส้กรองน้ำมันเครื่อง ทำหน้าที่กรองสิ่งสกปรกจากน้ำมันเครื่องที่ไหลเวียนในระบบ เนื่องจากไส้กรองฯ เป็นตัวดักเก็บสิ่งเจือปนต่างๆที่อยู่ในน้ำมันเครื่อง ทั้งเขม่า ตะกอน รวมไปถึงเศษโลหะของชิ้นส่วนเครื่องยนต์ หากไส้กรองอุดตันจะปล่อยน้ำมันเครื่องที่มีสิ่งสกปรกเจือปนไหลออกมาโดยไม่ผ่านการกรองและเป็นสาเหตุให้เครื่องยนต์สึกหรอเร็วกว่าปกติได้

ขอขอบคุณข้อมูล : เยลโล่เซอร์วิส

ทำไมต้องเปลี่ยนน้ำมันเครื่องพร้อมไส้กรอง Read More »

4 วิธีถนอมแบตรถ EV ที่คนส่วนใหญ่ไม่เคยรู้!

เฟจเฟซบุ๊ก EPPO Thailand โดยสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กระทรวงพลังงาน เผยวิธีถนอมแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ช่วยยืดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ ป้องกันการเสื่อมเร็วผิดปกติ สามารถทำได้ง่ายๆ 4 วิธี ดังนี้

1. ไม่ปล่อยแบตเตอรี่เหลือ 0% – การปล่อยแบตเตอรี่ให้หมดเกลี้ยงแล้วค่อยชาร์จ จะทำให้แบตเตอรี่ทำงานหนักจนเกิดความร้อนสูง

2. หลีกเลี่ยงการชาร์จเต็ม 100% – การชาร์จแบตเตอรี่จนเต็ม 100% เป็นประจำ จะทำให้อายุการใช้งานของแบตเตอรี่สั้นลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการชาร์จจนเต็ม 100% ด้วยระบบชาร์จไฟแบบ DC (ชาร์จด่วน) ควรรักษาระดับแบตเตอรี่ให้อยู่ระหว่าง 20 – 80% เท่าที่จะทำได้

3. หลีกเลี่ยงการจอดรถหรือชาร์จในที่อุณหภูมิสูงจัด – หากเป็นไปได้ควรจอดชาร์จไฟในพื้นที่ร่ม เพื่อให้ระบบจัดการความร้อนของแบตเตอรี่ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยสังเกตได้ว่าหากชาร์จในบริเวณที่มีอุณหภูมิสูง กำลังการชาร์จไฟจะลดลงอย่างเห็นได้ชัด

4. จอดรถนานแบตต้องมากกว่า 30% – หากมีความจำเป็นต้องจอดรถทิ้งไว้เป็นระยะเวลานานนับเดือน ควรเหลือปริมาณไฟในแบตเตอรี่อย่างน้อย 30% เพื่อป้องกันการเสื่อมสภาพของแบตเตอรี่

เพียงปฏิบัติตามข้อแนะนำเหล่านี้เป็นประจำ ก็จะช่วยยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่ EV ได้ไม่มากก็น้อยแล้วค่ะ

ขอขอบคุณข้อมูล : SANOOK

4 วิธีถนอมแบตรถ EV ที่คนส่วนใหญ่ไม่เคยรู้! Read More »

หลีกเลี่ยงขับรถใกล้จุดบอดของรถบรรทุก

วันนี้ TZ (trainingzenter)ได้รับส่งต่อคำแนะนำจาก กรมการขนส่งทางบก กำชับ!!! ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ด้วยความเร็วไม่เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ก่อนขับรถ สวมหมวกนิรภัย หมั่นตรวจสอบสภาพรถให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานอยู่เสมอ เตือน!!! หลีกเลี่ยงขับรถใกล้จุดบอดของรถบรรทุกหรือรถขนาดใหญ่เพื่อความปลอดภัย

รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะที่ประชาชนนิยมใช้ในการเดินทาง โดยเฉพาะในเขตเมืองหรือในพื้นที่จราจรติดขัด เพราะสะดวกและถึงที่หมายอย่างรวดเร็ว แต่ผู้ขับรถจักรยานยนต์ก็สามารถเกิดอุบัติเหตุได้ง่ายและรุนแรงส่งผลต่อชีวิตและทรัพย์สิน ซึ่งอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับรถจักรยานยนต์ส่วนหนึ่งคู่กรณีมักจะเป็นรถบรรทุกหรือรถขนาดใหญ่ กรมการขนส่งทางบกเตือน!!! ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ควรหลีกเลี่ยงการขับรถเข้าไปในจุดบอดของรถบรรทุกหรือรถขนาดใหญ่ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ โดยจุดบอดของรถบรรทุกหรือรถขนาดใหญ่ มี 4 จุด ได้แก่

บริเวณด้านหน้าและด้านขวาของรถบรรทุกและรถขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นจุดที่บดบังทัศนวิสัยในการมองเห็น โดยเฉพาะในระยะประชิด เนื่องจากความสูงของตัวรถ

ด้านหลังของรถบรรทุก ผู้ขับรถบรรทุกไม่สามารถมองเห็นด้านหลังของรถจากกระจกมองหลังได้ และด้านซ้ายของรถบรรทุก ซึ่งเป็นพื้นที่อันตรายที่สุด เนื่องจากเป็นจุดที่มีทัศนวิสัยแคบ ผู้ขับรถบรรทุกสังเกตเห็นรถคันอื่นได้ยาก ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์จึงควรหลีกเลี่ยงขับขี่รถเข้าไปอยู่ใกล้พื้นที่จุดบอดของรถบรรทุกในทุกกรณี

นอกจากจุดบอดของรถบรรทุกหรือรถขนาดใหญ่ที่ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ควรหลีกเลี่ยงแล้ว พื้นที่บริเวณไหล่ทางยังเป็นพื้นที่เสี่ยงของการเกิดอุบัติเหตุที่ควรระมัดระวังเป็นอย่างมาก ทั้งนี้กรมการขนส่งทางบกได้ออกประกาศกรมฯ กำหนดให้รถบรรทุกที่ใช้ขนส่งตามกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบกต้องติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันด้านข้าง (LPD) และด้านท้าย (RUPD) เพื่อป้องกันอุบัติเหตุรถยนต์ที่มีขนาดเล็กหรือรถจักรยานยนต์ล้มเข้าใต้รถบรรทุกหรือรถยนต์ชนท้ายรถบรรทุกเพื่อเป็นการยกระดับความปลอดภัยเพิ่มมากขึ้น

เพื่อความปลอดภัยในการใช้รถจักรยานยนต์ควรปฏิบัติตามมาตรการด้านความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด เช่น ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ก่อนขับรถ ไม่ใช้ความเร็วเกินกว่ากฎหมายกำหนด และสวมหมวกนิรภัยซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่สำคัญในการป้องกันอุบัติเหตุรุนแรง ช่วยลดความรุนแรงของการบาดเจ็บศีรษะและสมอง ลดความเสี่ยงในการเสียชีวิตของคนขับและคนซ้อนท้าย แนะนำให้ประชาชนเลือกใช้หมวกนิรภัยที่มีคุณภาพตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) การสวมหมวกนิรภัยทุกครั้งต้องใส่สายรัดคางให้แน่นกระชับพอดี รวมทั้งต้องหมั่นตรวจสอบสภาพรถให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานอยู่เสมอ เพื่อลดโอกาสในการเกิดอุบัติเหตุ เพิ่มความปลอดภัยต่อตัวผู้ขับขี่เองและผู้ร่วมใช้รถใช้ถนน

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : กรมการขนส่งทางบก

หลีกเลี่ยงขับรถใกล้จุดบอดของรถบรรทุก Read More »

อย่าคิดว่าไม่สำคัญ การบำรุงดูแลรักษารถยนต์เบื้องต้น

สำหรับใครที่ใช้รถยนต์เป็นประจำทั้งคุณผู้หญิง คุณผู้ชาย อาจมองว่าการซ่อมรถ บำรุงดูแลรักษารถเป็นเรื่องที่ยากเกินกว่าจะทำได้  แต่ถ้าเราตั้งใจจะเรียนรู้ศึกษาพื้นฐานจริงๆ  ก็ไม่ใช่เรื่องยาก เกินความตั้งใจของเราได้ เพราะการดูแลรถยนต์เป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้รถทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยที่สุด

วันนี้ TZ (trainingzenter) จะมาแนะนำเคล็ดลับการดูแลรถยนต์ที่เราสามารถนำไปประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มอายุการใช้งานให้กับรถของเรา ไม่ว่าจะเป็นรถใหม่ป้ายแดง หรือรถยนต์มือสอง  วิธีบำรุงรักษารถให้เบื้องต้นได้ด้วยตัวเอง ซึ่งบนโลกออนไลน์ในยุคสมัยนี้  มีข้อมูลสารพัดประโยชน์ของรถหลากหลายยี่ห้อและรุ่นต่าง ๆ เกือบทั้งหมด

ไม่ว่าเรา จะสงสัย สนใจอะไร เราก็สามารถหาข้อมูลต่าง ๆ ได้อย่างง่ายดายผ่าน YouTube หรือ Facebook จากเหล่าคนรักรถ ผู้รู้ที่ ใช้รถตัวจริงที่มาแนะนำแบ่งปันเทคนิค มีรถมากหน้าหลายตา ที่มาแบ่งปันแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน พร้อมบอกทุกเทคนิคและปัญหาของรถแต่ละรุ่นของพวกเขาเหล่านั้น   

การบำรุงรักษารถยนต์จึงเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยให้รถของเรา ทำงานได้ดีตลอดเวลาและเป็นการยืดอายุการใช้งานที่ยาวนานมากขึ้น และนี่ก็คือบางส่วนที่สามารถช่วยในการบำรุงรักษารถยนต์ของเราให้มีการใช้งานมากขึ้น   แถมยังเป็นการเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆอีกด้วย

1.การเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง

การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องแนะนำทุก 5,000 ถึง 10,000 กิโลเมตรหรือ 3 ถึง 6 เดือน การเปลี่ยนน้ำมันเครื่องเป็นประจำเป็นขั้นตอนที่สำคัญสำหรับการบำรุงรักษารถยนต์ในสภาพที่ดี น้ำมันเครื่องช่วยในการลดการเสียหายของเครื่องยนต์และช่วยให้ระบบหล่อเย็นทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ

2.การเปลี่ยนฟิลเตอร์

เปลี่ยนฟิลเตอร์อากาศ, ฟิลเตอร์น้ำมัน, และฟิลเตอร์เชื้อเพลิงตามคำแนะนำจากผู้ผลิต การทำเช่นนี้จะช่วยให้รถมีการทำงานที่มีประสิทธิภาพสูงสุด

3.การตรวจสอบและเปลี่ยนสายพาน

การตรวจเช็กสายพานในรถยนต์เป็นส่วนสำคัญเพื่อให้รถทำงานได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพที่สูงสุด ซึ่งสายพานมีบทบาทสำคัญในการส่งกำลังจากเครื่องยนต์ไปยังส่วนต่าง ๆ ของรถ เช่น ส่งกำลังไปยังระบบหน่วยปรับอากาศ (A/C), ปั๊มน้ำ, หรือหน่วยปรับแรงเทียน (Power Steering)

4. การเช็กและปรับลมยาง  การรักษาและปรับความดันลมในยางให้ถูกต้องตามคำแนะนำที่ระบุในคู่มือรถ ยางที่ดีจะช่วยให้ควบคุมรถยนต์ได้ดีและป้องกันการสูญเสียการดูดซับน้ำมัน ควรเช็กและเติมลมทุกวันหรืออย่างน้อยสองครั้งต่อสัปดาห์

การดูแลลมยางเป็นสิ่งสำคัญเพื่อรักษาประสิทธิภาพขับขี่และความปลอดภัยของรถเรา ซึ้งรถยนต์แต่ละรุ่นอาจมีความแตกต่างกันในขั้นตอนการเช็กและเปลี่ยนลมยาง ดังนั้น ควรตรวจสอบคู่มือการใช้งานหรือคู่มือรถของเรา เพื่อข้อมูลที่เฉพาะเจาะจงสำหรับรถแต่ละรุ่น

5. การเช็กระบบเบรกรถยนต์

  • ตรวจสอบระดับน้ำมันเบรก (Brake Fluid)  เปิดฝาที่จะเก็บน้ำมันเบรก และตรวจสอบระดับน้ำมัน ในกรณีที่ระดับต่ำเกินไป ควรเติมน้ำมันเบรกทันที ใช้น้ำมันที่ถูกต้องตามคำแนะนำในคู่มือของรถแต่ละรุ่น
  • ตรวจสอบที่รั่ว (Check for Leaks)  ตรวจสอบบริเวณใต้รถหรือในที่จอดรถเพื่อตรวจหาการรั่วของน้ำมันเบรก

หากพบการรั่ว ควรนำรถไปที่อู่เพื่อตรวจเช็กและซ่อมแซม

  • ตรวจสอบผ้าเบรก (Check Brake Pads) ผ้าเบรกหน้าและหลัง ถ้าผ้าเบรกมีความหลุดหรือบางมาก หรือหากมีเสียงสะท้อนเมื่อใช้เบรก อาจต้องเปลี่ยนผ้าเบรก เพื่อความปลอดภัยในการใช้เบรก
  • ตรวจสอบจานเบรก (Check Brake Discs/Rotors) สภาพจานเบรกหน้าและหลัง ถ้ามีรอยแตกร้าวหรือไม่สม่ำเสมอ อาจต้องทำการเจาะหรือเปลี่ยนจานเบรก
  • ตรวจสอบระบบ ABS (Anti-lock Braking System) ทดสอบระบบ ABS โดยให้รถเคลื่อนที่ด้วยความเร็วต่ำ และทดสอบการใช้เบรก ถ้ามีปัญหาในระบบ ABS ควรนำรถไปซ่อมที่อู่
  • ทดสอบเบรก (Test the Brakes) ทดสอบระบบเบรกโดยทำการเบรกเบา ๆ และเบรกแรง ๆ เพื่อตรวจสอบความทำงานของระบบ ถ้ามีปัญหา ควรนำรถไปที่อู่เพื่อตรวจสอบความปลอดภัย

6. การดูแลรักษาแบตเตอรี่  แบตเตอรี่ถือเป็นหัวใจสำคัญของรถยนต์เพราะทำหน้าที่เก็บและสำรองกระแสไฟก่อนนำจ่ายไปยังอุปกรณ์ต่างๆ ในรถยนต์ ขณะสตาร์ทและยังไม่สตาร์ทเครื่องยนต์ เช่น ระบบการจุดระเบิดเครื่องยนต์เพื่อให้เครื่องยนต์หมุนและติดเครื่องได้  ระบบไฟส่องสว่างภายในรถระหว่างที่ยังไม่ได้สตาร์ทเครื่องยนต์ ดังนั้นเราต้องมีการหมั่น ตรวจสอบระดับน้ำ elektrolyte ในแบตเตอรี่ และทำความสะอาดขั้วแบตเตอรี่ ระบบชาร์จที่สมบูรณ์จะช่วยให้รักษารถยนต์ของเรา ได้มีประสิทธิภาพที่ดี

7. การล้างรถ

การล้างรถถือเป็นวิธีการ ดูแลรถเบื้องต้นที่ทุกคนสามารถทำได้เอง นอกจากจะเป็นการทำความสะอาดขจัดสิ่งสกปรกที่เกาะอยู่บนตัวรถออกไปแล้ว ยังทำให้รถของเราแลดูใหม่ สีไม่ซีด ไม่มีสนิมเกาะ  แถมการล้างรถยังเป็นการตรวจเช็กสภาพรถทั้งภายในและภายนอก เช่น รอยขีดข่วนหรือร่องรอยสนิมที่อาจเกิดขึ้นบนผิวรถของเราอีกด้วย

8. เปลี่ยนแผ่นกรองอากาศอย่างสม่ำเสมอ

แผ่นกรองอากาศเป็นชิ้นส่วนที่ทำหน้าที่ป้องกันฝุ่นหรือดักจับสิ่งสกปรกที่จะเข้ามาภายในรถยนต์ โดยเฉพาะบ้านเราเป็นเมืองร้อน และมีฝุ่น PM ค่อนข้างสูงขึ้นในทุกๆปี หากไม่หมั่นตรวจเช็กให้แผ่นกรองอากาศสะอาดอยู่เสมอ อาจทำให้มีสิ่งสกปรกเข้าไปอุดตันแผ่นกรองอากาศยังส่งผลให้เครื่องยนต์ทำงานหนักมากกว่าปกติอีกด้วย

9. ใบปัดน้ำฝน

ที่ปัดน้ำฝนเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยให้ทัศนวิสัยการมองเห็นของผู้ขับขี่ ของเราดีขึ้นเมื่อต้องขับรถตอนฝนตกหนัก หรือเผชิญสภาพอากาศหนาวจัดหมอกลง ถ้าเช็กแล้วพบว่าที่ปัดน้ำฝนของเรา ไม่สามารถปัดน้ำบนกระจกได้อย่างมีประสิทธิภาพเหมือนก่อน หรือทิ้งคราบน้ำไว้บนกระจกรถ นั่นแสดงว่าใบปัดน้ำฝนของเรา เริ่มเสื่อมสภาพตามการใช้งาน ควรเปลี่ยนใหม่ทันที เพื่อความปลอดภัยเวลา ขับรถช่วงหน้าฝน

9 วิธีแสนง่ายกับการดูแลรักษารถยนต์ นอกจากจะเห็นถึงประโยชน์ของการบำรุงรักษารถยนต์ที่ช่วยยืดอายุให้รถอยู่คู่กับเราไปนาน ๆ ยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมรถ อีกทั้งเพิ่มความปลอดภัยในการใช้รถแต่ละครั้งถ้าเราหมั่นตรวจสอบและดูแลอย่างเป็นประจำ

อย่าคิดว่าไม่สำคัญ การบำรุงดูแลรักษารถยนต์เบื้องต้น Read More »

น้ำมันเครื่อง แต่ละชนิดต่างกันอย่างไร มีประเภทไหนบ้าง รถเก่าควรใช้น้ำมันเครื่องเบอร์อะไร

น้ำมันเครื่อง หรือ Engine Lubricant ถือเป็นสารหล่อลื่นที่สำคัญที่สุดอีกอย่างหนึ่งในกระบวนการทำงานของเครื่องยนต์ ซึ่งแน่นอนว่า ผู้ใช้รถเกือบจะทุกคนคงเคยผ่านการ ถ่ายน้ำมันเครื่อง ให้กับรถของตัวเองมาบ้าง แล้วเคยสงสัยไหมว่า น้ำมันเครื่องที่มีอยู่มากมายในท้องตลาดมันต่างกันอย่างไร และแบบไหนที่เหมาะกับรถของคุณกันแน่ วันนี้ TZ (trainingzenter) จะพามาทำความรู้จักการเลือกใช้น้ำมันเครื่องกันค่ะ

ประเภทของน้ำมันเครื่อง

ก่อนอื่นเราต้องแบ่งแยกประเภทของน้ำมันเครื่องกันให้ได้ก่อน ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะแบ่งออกเป็น 3 ชนิด หรือจะเรียกว่า 3 เกรด

1. น้ำมันเครื่องเกรดเดี่ยว หรือแบบพื้นฐาน

น้ำมันเครื่องเกรดเดี่ยว หรือแบบพื้นฐานนี้ จะมีค่าความหนืดที่เหมาะสมกับอุณหภูมิเดียวตามฉลากบนแกลอน เช่น SAE 50 หรือ SAE40 ซึ่งหมายความว่าน้ำมันเครื่องชนิดนี้จะปกป้องเครื่องยนต์ได้ดีที่สุด ที่อุณหภูมิ 50 หรือ 40 องศา ตามที่ระบุไว้

ซึ่งแบบนี้จะเหมาะกับรถรุ่นเก่าๆ ที่ใช้รอบเครื่องยนต์ต่ำๆ หรือประเทศเขตร้อนอย่างบ้านเรา ข้อดีคือราคาถูก แต่ไม่เป็นที่นิยมเพราะอายุการใช้งานสั้น

2. น้ำมันเครื่องเกรดรวม หรือ Multi Grad

น้ำมันเครื่องเกรดรวม หรือ Multi Grad เป็นน้ำมันเครื่องที่สามารถเปลี่ยนแปลงค่าความหนืดได้ เช่น ในอุณหภูมิสูงก็จะมีความใส พออุณหภูมิต่ำลงก็ยังสามารถคงความข้นใสเอาไว้ได้ เพื่อให้เหมาะสมกับการเลือกใช้ในทุกอุณหภูมิของเครื่องยนต์

สังเกตง่ายๆ คือจะระบุค่าความหนีดมาให้ 2 ตัว โดยมีตัวอักษร W คั่นกลาง เช่น SAE 20W50 หรือ API 15W40 เป็นต้น ซึ่งปัจจุบันเป็นแบบที่นิยมใช้มากที่สุด หาซื้อได้ทั่วไป นิยมใช้กับรถรุ่นใหม่

3. น้ำมันเครื่องสังเคราะห์” หรือ “Synthetic”

น้ำมันเครื่องสังเคราะห์ หรือ “Synthetic”  คือ น้ำมันเครื่องที่ผลิตจากน้ำมันแร่ ซึ่งได้จากกระบวนการทางปิโตรเลี่ยม เพื่อให้มีคุณสมบัติพิเศษกว่าน้ำมันแร่ทั่วไป เช่น ความคงทนต่อการทำปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศ อายุการเปลี่ยนถ่ายและการใช้งานนานขึ้น มีอัตราการระเหยต่ำลดปัญหาการสิ้นเปลืองหล่อลื่น รวมถึงแบบ กึ่งสังเคราะห์ (Semi-Synthetic) ที่ผลิตจากการนำน้ำมันแร่มาผสมกับน้ำมันพื้นฐานสังเคราะห์เพื่อเสริมคุณสมบัติให้ดีขึ้นกว่าน้ำมันเครื่องทั่วไป และมีราคาถูกกว่าน้ำมันเครื่องสังเคราะห์

อักษรย่อหน้าค่าความหนืด

ส่วนเจ้าอักษรย่อหน้าค่าความหนืด นั้นคือตัวย่อของสถาบันที่ทำการทดสอบและรับรองคุณภาพของน้ำมันเครื่อง ซึ่งหลักๆ แล้วจะมีอยู่ 3 สถาบัน คือ

1. API หรือ AMERICAN PETROLEUM INSTITUTE ซึ่งเป็นสถาบันที่ทำหน้าที่ค้นคว้าวิจัย และวางมาตราฐานเกี่ยวกับน้ำมันต่างๆ ของประเทศสหรัฐอเมริกา

2. SAE หรือ SOCIETY OF AUTOMOTIVE ENGINEERS อันนี้คือสมาคมที่ค้นคว้าวิจัยและวางหลักเกณฑ์มาตราฐานต่างๆ เกี่ยวกับรถยนต์ต่างๆ ของประเทศสหรัฐอเมริกา

3. ASTM หรือ AMERICAN SOCIETY FOR TESTING AND MATERIALS ซึ่งเป็นสมาคมที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการทดสอบวัตถุต่างๆ ของประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งแบบนี้มีให้เห็นมากนัก

เลขเบอร์น้ำมันเครื่อง

คราวนี้ก็มาทำความเข้าใจกับตัวเลขและตัวอักษรที่เหลือว่ามันคืออะไร ซึ่งตรงนี้ควรใส่ใจเป็นพิเศษเพราะมันมีผลต่อสมรรถนะของเครื่องยนต์ และมีตัวเลขให้เลือกอยู่หลายชุดยก ตัวอย่างเช่น 0W-40, 5W-40, 10W-40, 5W-50 ซึ่งตัวเลขพวกนี้มันคือ ค่าความหนืด หรือ Viscosity ของน้ำมันเครื่อง

หรือที่ศัพท์เทคนิคเรียกว่า “ค่าความต้านทานการไหล” หรือความข้นเหนียวโดยธรรมชาติที่จะแปรผันตามอุณหภูมิ เช่น เมื่อได้รับความร้อนน้ำมันจะใส และ เมื่อได้รับความเย็นน้ำมันจะข้น

โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มคือ น้ำมันเครื่องที่ใช้ในฤดูหนาวและน้ำมันเครื่องที่ใช้ในฤดูร้อน โดยที่เบอร์ความหนืดของน้ำมันเครื่องในกลุ่มฤดูหนาว จะมีตัว W ซึ่งย่อมาจาก Winter ต่อท้าย ซึ่งวัดค่าความหนืดที่อุณหภูมิ -30 C ถึง – 5 C ส่วนประเภทนำ้มันเครื่องกลุ่มฤดูร้อนจะวัดค่าความหนืดที่ 100 C ได้แก่ SAE 20,30,40,50 และ 60 เบอร์ที่น้อยจะใสและเบอร์ที่มากกว่าข้นกว่า

จากนั้นมาดูว่า อันไหนเป็น น้ำมันเครื่องสำหรับดีเซลหรือเบนซิน โดยสังเกตจาก มาตรฐาน API ซึ่งถ้าเป็นน้ำมันเครื่องสำหรับเครื่องยนต์เบนซินจะมีตัวอักษร S หรือ (Service Stations Classifications) เช่น API-SG , API-SM และ API-SN เป็นต้น แต่ถ้าเป็นน้ำมันเครื่องสำหรับเครื่องยนต์ดีเซล จะใช้อักษร C หรือ (COMMERCIAL SERVICE-COMPRESSION IGNITION) เช่น CD , CE หรือ CF4

ส่วนน้ำเครื่องที่ใช้ได้กับเครื่องยนต์ทั้ง 2 ประเภท นั้นจะมีตัวอักษรกำกับอยู่ 2 ส่วน เช่น API SN/CF หมายถึงน้ำมันเครื่องสำหรับเครื่องยนต์เบนซินมาตรฐาน SH และสามารถใช้กับเครื่องยนต์ดีเซลได้ด้วยเพราะผ่านมาตรฐาน CF แต่เหมาะสำหรับเครื่องยนต์เบนซินมากกว่าสังเกตุไม่ยากคือค่าอะไรขึ้นก่อนแสดงว่าเหมาะกับเครื่องยนต์ประเภทนั้น

เลือกน้ำมันเครื่องอย่างไร รถเก่าควรใช้น้ำมันเครื่องเบอร์อะไร

ทีนี้มาถึง วิธีเลือกน้ำมันเครื่อง ที่ในบ้านเรานั้นมีเบอร์น้ำมันเครื่องที่เหมาะสมอยู่หลายเบอร์ด้วยกัน แต่ที่นิยมใช้กันมากได้แก่เบอร์ SAE 15W/40 และ 20W/50 ซึ่งถ้าจะเลือกใช้เบอร์ที่ต่างไปจากนี้ก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ขอให้เลือกเบอร์ความหนืดในช่วงฤดูร้อน หรือเลขตัวหลังที่เป็นเบอร์ 30 ขึ้นไป เพื่อให้ทนกับสภาพอากาศร้อนๆ ในบ้านเรา

แต่โดยหลักๆ แล้วคุณควรเลือกน้ำมันเครื่องที่มีความหนืดที่เหมาะสมกับสภาพของเครื่องยนต์ และสภาพการใช้งานของคุณ เช่น หากรถของท่านเป็นรถใหม่ ก็ควรเลือกใช้น้ำมันเครื่องที่มีเบอร์ความหนืดใส จะช่วยในการประหยัดเชื้อเพลิงมากขึ้น เช่น SAE 10W-30 เป็นต้น แต่หากรถของท่านเป็นรถเก่า มีอาการกินน้ำมันเครื่อง ถ้าจะเลือกใช้ น้ำมันเครื่องสำหรับรถเก่า ก็ควรเลือกใช้น้ำมันเครื่องที่มีเบอร์ความหนืดที่ข้นมากขึ้น เพื่อช่วยลดปัญหาการกินน้ำมันเครื่อง เช่น SAE 20W-50 เป็นต้น

หรือจะให้ชัวร์ ก็ควรที่จะเลือกใช้น้ำมันเครื่องตามมาตรฐานที่คู่มือกำหนด หรือไม่ก็เลือกเกรดสูงกว่า เพราะการใช้น้ำมันเครื่องที่เหมาะสมจะช่วยยืดอายุการใช้งานของเครื่องยนต์ได้อีกนานแสนนาน

อ้อเมื่อเลือกกันถูกแล้วก็อย่าลืมเปลี่ยนถ่ายตามกำหนดด้วยนะ ส่วนรายละเอียดเกี่ยวกับระยะการเปลี่ยนนั้นเราจะนำมาฝากแน่นอนในครั้งต่อๆ ไป

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : autospinn

น้ำมันเครื่อง แต่ละชนิดต่างกันอย่างไร มีประเภทไหนบ้าง รถเก่าควรใช้น้ำมันเครื่องเบอร์อะไร Read More »

การขับขี่ปลอดภัยเชิงป้องกันอุบัติเหตุ

ตรวจสภาพคนขับ

หากคุณต้องเป็นผู้ขับรถแล้ว ยิ่งต้องขับทางไกลด้วย ต้องเตรียมร่างกายให้พร้อมพักผ่อนให้เพียงพอ ไม่ควรพึ่งกาแฟหรือเครื่องดื่มชูกำลัง และไม่ควรดื่มแอลกอฮอล์เด็ดขาด

อย่าเปิดกระจก-อย่าปลดล็อกประตู

อย่าเปิดกระจก เพื่อป้องกันฝุ่นควันต่างๆ เข้ามาภายในรถ และอย่าปลดล็อกประตูเด็ดขาด เพื่อป้องกันตนเอง ข้าวของ และคนในรถจากมิจฉาชีพ

ตรวจเช็คเส้นทาง

การสำรวจเส้นทางให้ดี ก่อนลุยจริงเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะจะทำให้คนขับสามารถนำทางได้อย่างมั่นใจ ส่วนคนนั่งก็จะไม่ต้องพะว่าพะวง กลัวจะหลง

ใช้ความเร็วให้เหมาะสม

เรื่องการใช้ความเร็วนั้น ต้องใช้ความเร็วตามกฎหมายกำหนด เพราะถ้าเร็วเกินไป นอกจากจะโดนตำรวจจับแล้ว ก็อาจเป็นสาเหตุของอุบัติเหตุได้อีกด้วย

ประเมินความพฤติกรรมผู้ร่วมถนน

ประเมินผู้ร่วมถนน ว่ามีนิสัยการขับรถอย่างไร เช่น ไม่ให้สัญญาณไฟเลี้ยว ฯลฯ พฤติกรรมเหล่านี้ จะทำให้เราระวังตัว และหาทางหลีกเลี่ยงได้

สรุปเทคนิคการขับรถปลอดภัยเชิงป้องกันอุบัติเหตุ  5 ข้อ

1. การมองไกล

มองไกลไปข้างหน้า 15 วินาที

2. การมองภาพโดยรอบ

มองกระจกทุกๆ 5-8 วินาที

ทิ้งระยะห่างรถกันหน้าอย่างน้อย 4-6 วินาที

3. การเคลื่อนไหวสายตา

เคลื่อนไหวสายตาทุกๆ 2 วินาที

4. การหาทางออกให้ตัวเอง

รักษาระยะห่างรอบตัว

5. การสื่อสารแน่ใจว่าผู้อื่นเห็นเรา

ใช้สัญญาณเตือนต่างๆ ขอขอบคุณข้อมูลจาก : เซฟตี้อินไทย

การขับขี่ปลอดภัยเชิงป้องกันอุบัติเหตุ Read More »

เบรคมอเตอร์ไซค์ออโต้ มีกี่แบบ และใช้อย่างไรจึงปลอดภัย

เบรมอเตอร์ไซค์ออโต้ มีกี่แบบ และใช้อย่างไรจึงปลอดภัย
เรื่องความเร็วถือว่าสำคัญอย่างมากเมื่อขี่มอเตอร์ไซค์บนท้องถนน ไม่ใช่แค่รถต้องเร็วต้องแรงเท่านั้น แต่ยังต้องหยุดเมื่อควรหยุดและควบคุมความเร็วให้เหมาะสมได้ ซึ่งเรื่องนั้นต้องอาศัยระบบเบรคที่มีประสิทธิภาพ และเมื่อพูดถึงระบบเบรคเราก็มีเรื่องน่ารู้มาฝากอีกเช่นเคย

เชื่อว่าหลายคน (รวมถึงคนที่ขี่มอเตอร์ไซค์ทุกวัน) ยังไม่รู้จักระบบเบรคมอเตอร์ไซค์ดีพอ ไม่รู้ว่าเบรคมอเตอร์ไซค์มีกี่ประเภท รวมถึงยังไม่รู้ด้วยว่ามอเตอร์ไซค์ก็มีวิธีเบรคที่ถูกต้องและปลอดภัยด้วย

ระบบเบรมอเตอร์ไซค์
ระบบเบรคมอเตอร์ไซค์โดยทั่วไปแบ่งเป็น 3 ระบบได้แก่ เบรคหน้า เบรคหลัง และเบรคด้วยเครื่องยนต์ หรือ Engine Brake โดยทั้ง 3 ระบบ จะแตกต่างกันที่ลักษณะการใช้งาน ดังนี้

1.เบรหน้า (Front Brake)
เบรคหน้า เป็นระบบเบรคมอเตอร์ไซค์ที่มีประสิทธิภาพในการชะลอความเร็วและหยุดรถมากที่สุด เหมาะกับการเบรคที่ไม่ต้องการระยะเบรคมากนัก โดยก้านเบรคหน้าจะติดตั้งอยู่ที่แฮนด์ด้านขวาของผู้ขับขี่ ระบบเบรคหน้าทำงานโดยส่งแรงบีบจากก้านเบรกไปตามสายเพื่อสูบฉีดน้ำมันเบรคไปยังคาลิเปอร์ให้บีบผ้าเบรคเข้ากับจานเบรค

เมื่อต้องเบรคแบบกะทันหันการบีบก้านเบรคหน้าเบาๆ แล้วลงน้ำหนักช้าๆ จนรถหยุดก็เพียงพอแล้ว และการบีบก้านเบรคหน้าแบบเต็มแรงมือไปเลยนั้นก็มีโอกาสที่รถมอเตอร์ไซค์จะเสียหลักได้

2. เบรหลัง (Rear Brake)
ระบบเบรคหลังจะมีประสิทธิภาพในการหยุดรถมอเตอร์ไซค์น้อยกว่าระบบเบรคหน้า แต่ส่วนมากจะใช้เพื่อชะลอความเร็วของรถจึงเหมาะกับการเบรคที่ต้องเผื่อระยะเบรคมากหน่อย ไม่แนะนำให้ใช้ในกรณีที่ต้องเบรคแบบกะทันหันเพราะถ้าผู้ขับขี่กะระยะเบรคผิดรถอาจจะหยุดไม่ทันและเกิดอุบัติเหตุได้ โดยระบบเบรคหลังจะติดตั้งอยู่ที่แฮนด์ด้านซ้ายของผู้ขับขี่

3. เบรด้วยเครื่องยนต์ (Engine Brake)
ระบบนี้เป็นการชะลอความเร็วด้วยแรงฉุดของรอบเครื่องยนต์ที่ตกลงจากรอบปัจจุบันหลังจากเราปล่อยคันเร่ง เป็นกลไกของเครื่องยนต์ สามารถชะลอความเร็วได้โดยไม่ต้องบีบก้านเบรก แต่ถ้าต้องการหยุดรถก็ยังจำเป็นต้องใช้ระบบเบรคอื่นๆ ร่วมด้วย

เบรอย่างไรให้ปลอดภัย ?
รถเสียหลัก คือเรื่องที่เกิดขึ้นได้จากการหยุดรถแบบกะทันหัน และจากลักษณะการใช้งานของระบบเบรคมอเตอร์ไซค์ทั้ง 3 ระบบ ที่พูดไปแล้วนั้น จะเห็นว่าสิ่งที่ต้องคำนึงถึงเมื่อใช้งานเบรคก็คือ น้ำหนักในการบีบก้านเบรกและการกะระยะเบรคให้เหมาะสม ซึ่งทั้ง 2 อย่างอาจจะไม่ใช่เรื่องยากสำหรับคนที่ชั่วโมงบิดสูง ขี่มอเตอร์ไซค์และกำเบรคจนชินมือ แต่สำหรับคนที่ยังต้องการคำแนะนำอยู่ เราแนะนำให้ออกแรงบีบก้านเบรคเพียง 20-30 เปอร์เซ็นต์ สำหรับการหยุดรถด้วยเบรคหน้า และให้ออกแรงบีบก้านเบรคประมาณ 70-80 เปอร์เซ็นต์ สำหรับการหยุดรถด้วยเบรคหลัง และควรเพิ่มการกะระยะเบรคให้มากขึ้นกว่าปกติ

ขอบคุณข้อมูลจาก : yamahataworn

เบรคมอเตอร์ไซค์ออโต้ มีกี่แบบ และใช้อย่างไรจึงปลอดภัย Read More »

ขับอย่างไรให้ปลอดภัยในเขตชุมชน

ทุกการเดินทางเราพร้อมดูแลคุณ กับบริษัทไอดีไดรฟ์ จำกัด

อุบัติเหตุทางถนนที่เพิ่มมากขึ้นหลังจากการเปิดประเทศ ส่วนใหญ่ยังคงเกิดขึ้นกับพวกเมาแล้วขับ รถจักรยานยนต์กลายเป็นยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุมากที่สุด ตามด้วยรถยนต์ ที่ไม่ได้เกิดแค่บนถนนไฮเวย์ หรือบนทางหลวงเท่านั้น บริเวณชุมชนที่มีผู้คนอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ก็มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นไม่น้อย คนเดินเท้า จักรยาน คนข้ามถนน คนขายของที่อยู่ริมถนน เมื่อขับผ่านเขตชุมชนนักขับส่วนใหญ่จะมีความระมัดระวังเพิ่มมากขึ้น เช่น ลดความเร็ว ไม่ขับจี้ท้ายหรือเปลี่ยนช่องทางไปมาด้วยความเร็ว แต่ก็ยังมีผู้ใช้รถใช้ถนนบางคนที่สติไม่ได้จดจ่ออยู่กับการขับรถ การขาดความระวังแม้แค่แวบเดียวก็อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ โดยเฉพาะการขับในเขตเมือง การขับรถในเขตชุมชนนั้นดูเหมือนจะไม่มีอะไร แต่กลับมีอันตรายมากกว่าการขับรถบนทางหลวง ต้องใช้สมาธิมากกว่าเดิม ใจร้อน ไม่มีสติ ขาดยั้งคิด

อุบัติเหตุนั้นเพิ่มมากขึ้น การสังเกต หรือคาดการณ์ก็จะมีความยุ่งยากและซับซ้อน เครื่องหมายหรือป้ายจราจรก็เยอะ ผู้คนที่สัญจรไปมาทั้งบนทางเท้าและบนถนน ไม่เห็นป้ายบอกเขตจำกัด    ความเร็ว หรือเขตโรงเรียน  การออกตัว หรือหยุดรถในเขตเมือง โดยขาดความระมัดระวัง อาจหมายถึงอุบัติเหตุ แต่ละถนน แต่ละแยก แต่ละซอย ล้วนเป็นจุดอันตราย

     เขตอันตราย ที่อาจไร้ความระมัดระวัง การเลี้ยวกลับรถบริเวณทางแยกทางร่วม ไม่ว่าจะเลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา หรือแม้แต่การขับยูเทิร์น สิ่งที่ต้องระวังก็คือรถบรรทุกขนาดใหญ่ หรือรถพ่วง บางคันอาจกำลังขับคร่อมเลนเมื่อคุณต้องการการเลี้ยวที่ปลอดภัยคือ ต้องเริ่มให้สัญญาณก่อนการเลี้ยวล่วงหน้า อยู่ในช่องทางที่จะเลี้ยวอย่างถูกต้อง ไม่ขับคร่อมเส้นแบ่งช่องทางก่อนการเลี้ยว

      ขับโดยทิ้งระยะห่างจากรถคันข้างหน้าใช้ความเร็วต่ำ เพื่อจะได้มีพื้นที่ในการมองและพร้อมที่จะหลบ หรือเบรกให้ทัน ใช้เสียงแตรเตือนเมื่อไม่แน่ใจว่าเขาจะเปิดประตูออกมาหรือไม่เพื่อระวัง เนื่องจากรูปแบบของอุบัติเหตุนั้นแตกต่างกันออกไปตาม สถานที่ด้วยค่ะ

สาระดี  มีมาฝาก จาก ศูนย์ตรวจสภาพรถไอดีสารคาม โดย บริษัทไอดีไดรฟ์ จำกัด

นำมาฝากสำหรับทุกท่านนะคะ หากอ่านแล้วข่าวสารนี้ได้รับความรู้ ฝากกดไลค์ กดแชร์ ติดตามเป็นกำลังใจด้วยนะคะ ด้วยความห่วงใย จากศูนย์ตรวจสภาพรถไอดีไดรฟ์ ขอขอบคุณค่ะ


☎️ 043-020-512, 063-506-5577 ,093-479-9747

ขับอย่างไรให้ปลอดภัยในเขตชุมชน Read More »